“พ่อหมอวิทย์ – หมอบุญมา” คว้ารางวัล หมอไทยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2566 จากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก จัดงาน มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติครั้งที่ 20 ภายใต้แนวคิด “สมุนไพรไทย ภูมิปัญญาไทย เศรษฐกิจไทย” (Thai Herbs &Medical Cannabis for Health & Wealth) คาดหวังจะได้เห็นสมุนไพรไทยได้รับการพัฒนาตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางพร้อมมอบรางวัลหมอไทยดีเด่นแห่งชาติ 2566 ได้แก่ “นายประวิทย์ แก้วทอง หรือ พ่อหมอวิทย์” จากสงขลา หมอพื้นบ้านจากแดนใต้ ความชำนาญในการรักษาโรคอัมพฤกษ์-อัมพาตแบบผสมผสานระหว่างการนวด การใช้ยาสมุนไพร และการใช้เวทมนตร์คาถาร่วมกัน และ “หมอบุญมา มุงเพีย” จากสกลนคร ที่คลุกคลีอยู่กับผู้ที่มีความรู้ ความชำนาญในการรักษาผู้ป่วยมาตั้งแต่อายุ 7 ปี ใช้ยาตำรับประเภทยาต้มสมุนไพรเป็นศาสตร์การรักษาผู้ป่วย

นายประวิทย์ แก้วทอง หรือ “พ่อหมอวิทย์” เป็นหมอพื้นบ้านต้องเผชิญอาการปวดข้อทุกข้อ เข่าบวมจนไม่สามารถเดินได้ ช่วง พ.ศ. 2523 ได้รับการรักษากับแพทย์แผนปัจจุบันมานานกว่า 1 ปี แต่ไม่มีทีท่าจะหายจากโรคไวรัสลงข้อ พ่อหมอวิทย์ จึงตัดสินใจไปรักษากับหมอพื้นบ้านหลายคน ทั้งนวด กินยาสมุนไพร ใช้เวทมนต์คาถา และไสยศาสตร์แต่ก็ไม่หายจนมาพบกับ หมอเพื้อม ศรีแก้วเขียว หมอพื้นบ้าน ต.ท่าข้าม อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ได้ทำการรักษาพ่อหมอวิทย์โดยการนวดและกินยา สมุนไพรต้ม จนหายเป็นปกติ

จากจุดหักเหนั้นทำให้พ่อหมอวิทย์เกิดความเลื่อมใส ศรัทธาจึงขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อที่จะเรียนวิชาความรู้ด้านการตรวจวินิจฉัยโรค การนวด การใช้ยาสมุนไพรและคาถาเวทมนตร์ต่างๆ หลังจากนั้นพ่อหมอวิทย์ได้ศึกษาเพิ่มเติมจากหมอสีนวล หมอพื้นบ้านชาวทุ่งค้อที่ชำนาญโรคโลหิตสตรี และการใช้เวทมนต์คาถาต่างๆ รวมถึงได้ศึกษาเพิ่มเติมจากตำราหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตำราอาจารย์ทอง วัดคลองแห
พ่อหมอวิทย์มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทส่วนเอว คอ โรคอัมพฤกษ์ -อัมพาต โรคเกี่ยวกับเส้น โรคโลหิตระดูสตรี วัยทอง โรคไข้ต่างๆ โดยการรักษาโรคส่วนใหญ่รักษาแบบผสมผสานระหว่าง การนวด การใช้ยาสมุนไพร และการใช้เวทมนตร์คาถาร่วมกัน

พ่อหมอวิทย์ เปิดเผยว่า สำหรับขั้นตอนในการตรวจรักษาโรค คือ การจับชีพจร การซักประวัติเบื้องต้น การตรวจร่างกาย และ ท้ายสุดคือการทำการรักษาโดยการนวด ใช้ยาสมุนไพร และใช้เวทมนตร์คาถา แล้วแต่ชนิดของโรคและอาการ ผู้ป่วยในแต่ละรายและเลือกใช้ตำรับยาสมุนไพรร่วมกับการตรวจวินิจฉัยและจ่ายยา ซึ่งตำรับยาที่ใช้การรักษาผู้ป่วยในกลุ่มโรคต่างๆ มักจะเป็นสมุนไพรในท้องถิ่นที่มีความแตกต่างกัน การรักษาของพ่อหมอวิทย์ให้ความสำคัญกับศาสตร์หมอพื้นบ้านแล้ว พ่อหมอประวิทย์เป็นผู้ประพฤติปฏิบัติ ใช้ตำรับยาสมุนไพรที่เหมาะสมกับโรคและการใช้คาถาดำรงตนความเป็นหมอพื้นบ้านอย่างเคร่งครัด ทางด้าน หมอบุญมา มุงเพีย ฉายา “หมอ 10 บาท รักษาทุกโรค”คลุกคลีอยู่กับผู้ที่มีความรู้ความชำนาญในการรักษาผู้ป่วยมาตั้งแต่อายุ 7 ปี และได้รับการถ่ายทอดความรู้จากครูบาอาจารย์ในการรักษาโรค โดยใช้วิธีการรักษาในรูปแบบต่างๆ จนกระทั่ง เมื่อท่านอายุได้ 14 ปี มีความสนใจที่จะศึกษาการรักษาผู้ป่วยอย่างจริงจังเริ่มเรียนรู้วิชาแบบตัวต่อตัว อาศัยการสังเกต และการจดจำเท่านั้น โดยไม่มีตำราจากอาจารย์ถึง 7 ท่าน แต่ละท่านจะมีความเชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ ที่แตกต่างกัน

หมอบุญมา มีประสบการณ์และความรู้ความชำนาญในการรักษาโรคเป็นเวลานานหลายปีด้วยการใช้สมุนไพรเป็น “ยาตำรับประเภทยาต้ม ด้วยการเก็บสมุนไพรใหม่ทุกสัปดาห์ ตากให้แห้งและมัดเป็นกำเพื่อเตรียมยาใหม่ให้ผู้ป่วยทุกวันก่อนที่จะจ่ายยา ให้ผู้ป่วยต้มยาดื่มเอง แต่ก่อนจะนำจ่ายจะนำยาใส่พานทำพิธีกำกับยาต่อเทพก่อน ซึ่งหมอบุญมาจะจ่ายยาให้ผู้ป่วยด้วยตนเอง ทีละคนและบอกวิธีการรับยา โดยตัวยาหลักที่ใส่ในทุกตำรับ ได้แก่ ประดง ปีบ กำแพงเจ็ดชั้น หมอยสาวแก่ และบวบลม ส่วนตัวยาเสริม ได้แก่ เครือเขาแกลบ ตำรับยาของหมอบุญมาที่มีความโดดเด่นและใช้รักษา อาทิ ตำรับยารักษาเบาหวาน ตำรับยารักษาโรคความดันโลหิต ตำรับยารักษาโรคมะเร็งตับ และตำรับยารักษาโรคฝี

กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก มีหลักเกณฑ์และแนวทางการคัดเลือก หมอไทยดีเด่นแห่งชาติ ปี 2566 ดังนี้

1. เป็นผู้มีสัญชาติไทย

2. เป็นผู้ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกอบวิชาชีพการแผนไทยหรือแพทย์แผนไทยประยุกต์

3. ปฏิบัติงานดีเด่นที่เป็นแบบอย่างที่ดีได้ (ไม่น้อยกว่า 10 ปี)

4. เป็นคนดี มีจริยธรรม เมตตาธรรม ตามหลักศาสนา

5. เป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการดูแลผู้เจ็บป่วยและถ่ายทอดความรู้

สำหรับการคัดเลือก เริ่มการคัดเลือกจากหมอไทยดีเด่นระดับจังหวัด เพื่อคัดเลือกตัวแทนหมอไทยดีเด่นระดับภาคประจำปี 2566 ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข คณะทำงานพิจารณาคัดเลือกหมอไทยดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2566 จะคัดเลือกผู้ที่มีคะแนนดีที่สุดจากหมอไทยดีเด่นระดับภาคทั้ง 4 ภาค เพื่อนำเสนอคณะกรรมการ การพัฒนาภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพแห่งชาติพิจารณาตัดสิน

ทั้งนี้ประชาชนที่สนใจสามารถร่วมงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติฯ ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 28 มิถุนายน – 2 กรกฎาคม 2566 เวลา 10.00-20.00 น. ณ ฮอลล์11-12 ศูนย์การแสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี พบกับกิจกรรมต่างๆในงาน อาทิ งานสัมมนาวิชาการนานาชาติเรื่องกัญชากัญชง , การประชุมวิชาการประจำปี ในหัวข้อต่างๆ ,การประกวดผลงานวิชาการประจำปีฯ , ตลาดความรู้ 15 หลักสูตรฟรี พร้อม มีโซนจัดแสดงสินค้าและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทยที่มีมาตรฐานกว่า 300 บูธ แจกกล้าไม้สมุนไพร กล้าไม้ยืนต้น ผลิตภัณฑ์สมุนไพร และลุ้นรางวัลฟรีมากมายในงาน สามารถติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่ Facebook Fanpage มหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ หรือ Website: https://natherbexpo.dtam.moph.go.th และ โทรศัพท์ 0-2149-5649