กรมการค้าต่างประเทศเดินหน้าลุยตลาดฮ่องกงและปักกิ่ง เร่งสร้างความเชื่อมั่นและขยายตลาดข้าวหอมมะลิไทยและมันสำปะหลัง พร้อมหารือหน่วยงานสำคัญของจีนสร้างความร่วมมือและแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า กรมฯ ได้เร่งเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์ทางการค้า เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและขยายตลาดข้าวหอมมะลิไทยและมันสำปะหลังในตลาดต่างประเทศ ซึ่งกรมฯ ได้จัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางเยือนเขตเศรษฐกิจพิเศษฮ่องกง เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม – 2 มิถุนายน 2566 และกรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อวันที่ 11 – 15 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา โดยในการเยือนเขตเศรษฐกิจพิเศษฮ่องกง กรมฯ ได้พบปะหารือกับกรมการค้าและอุตสาหกรรมของฮ่องกง (Trade and Industry Department: TID) ในประเด็นต่างๆ อาทิ การควบคุมคลังสินค้า ถิ่นกำเนิดสินค้า กฎระเบียบทางการค้า ใบอนุญาตส่งออก เป็นต้น ตลอดจนการทำและการบังคับใช้ความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement) ในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี ซึ่งอธิบดีกรมการค้าและอุตสาหกรรมของฮ่องกง (Ms. Maggie Wong) ได้ขอบคุณรัฐบาลไทยที่ช่วยสนับสนุนฮ่องกงในกระบวนการสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership: RCEP) ซึ่งความตกลงดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมและขยายมูลค่าการค้าระหว่างฮ่องกงและประเทศสมาชิก เนื่องจากฮ่องกงเป็นเมืองปลอดภาษี และเปรียบเสมือนเป็นประตูในการกระจายสินค้าเข้าสู่ทั่วประเทศจีน
นอกจากนี้ กรมฯ ยังนำนายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย (ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์) และนายกกิตติมศักดิ์ของสมาคมฯ (นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์) และคณะผู้ส่งออกข้าวไทยรวม 16 ราย เข้าพบหารือกับสมาคมผู้นำเข้าข้าวฮ่องกงและบริษัทผู้นำเข้าข้าวฮ่องกงรายสำคัญ ซึ่งบรรยากาศในการหารือเป็นไปด้วยความเชื่อมั่นและสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันดี เนื่องจากทั้งสองฝ่ายเป็นคู่ค้ากันมาอย่างยาวนาน โดยที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าข้าวระหว่างกัน
ปัจจุบันฮ่องกงเป็นตลาดส่งออกข้าวที่สำคัญของไทย ในแต่ละปีไทยส่งออกข้าวไปฮ่องกง ประมาณ 170,000 – 188,000 ตัน โดยประมาณร้อยละ 70 – 80 เป็นการส่งออกข้าวหอมมะลิไทย โดยฮ่องกงอยู่อันดับ 1 ใน 3 ของตลาดข้าวหอมมะลิไทยมาโดยตลอด และข้าวไทยยังคงครองส่วนแบ่งตลาดข้าวฮ่องกงเป็นอันดับ 1 คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละ 60 ของตลาดข้าวฮ่องกง
ในส่วนการนำคณะผู้แทนภาครัฐและภาคเอกชนพบปะหารือและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้ากับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของจีน ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยกรมฯ ได้เข้าพบหารือกับองค์การบริหารจัดการกฎระเบียบตลาดแห่งรัฐของจีน (State Administration for Market Regulation: SAMR) ซึ่งกรมฯ ได้ขอบคุณ SAMR ที่สั่งปิดโรงงานและดำเนินคดีอย่างรวดเร็วกับโรงงานที่นำข้าวที่ปลูกในจีนแอบอ้างเป็นข้าวหอมมะลิไทยและวางจำหน่ายในจีน ซึ่งกรมฯ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับคุณภาพ/มาตรฐานข้าวหอมมะลิไทย และวิธีการสังเกตหรือเลือกซื้อข้าวหอมมะลิไทยที่ส่งจากประเทศไทย ซึ่งทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่า กรณีตรวจพบการปลอม/แอบอ้างเป็นข้าวหอมมะลิไทย และการปลอมแปลงตราสินค้าและเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทยให้ดำเนินการร่วมกันอย่างทันที นอกจากนี้ กรมฯ ยังได้พบหารือกับผู้นำเข้าและผู้ประกอบการสินค้าข้าวในจีน เพื่อประชาสัมพันธ์ข้าวไทยและข้าวหอมมะลิไทยควบคู่กับเครื่องหมายรับรองข้าวหอมมะลิไทยให้รับทราบถึงคุณภาพและมาตรฐานข้าวไทยด้วย และนำผู้แทนสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย โดยมีนายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์ และนายกิจจา เวศย์ไกรศรี รองเลขาธิการของสมาคมฯ พบหารือกับหน่วยงาน COFCO Corporation ซึ่งเป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้รัฐบาลจีนและเป็นบริษัทชั้นนำด้านการผลิตและการนำเข้าธัญพืชของจีน โดยที่ประชุมได้มีการแลกเปลี่ยนสถานการณ์การค้าข้าวระหว่างกัน
ทั้งนี้ ในแต่ละปีไทยส่งออกข้าวไปจีนประมาณ 0.6 – 0.7 ล้านตัน/ปี ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกข้าวขาวและข้าวหอมมะลิไทย นอกจากนี้ กรมฯ ยังมีกำหนดจะจัดคณะผู้แทนภาครัฐและเอกชนเดินทางไปพบปะหารือและกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าข้าวกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนของคู่ค้าที่สำคัญอื่น ๆ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ในเดือนกรกฎาคม และมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ในเดือนสิงหาคมนี้อีกด้วย
นอกจากนี้ ในการเดินทางเยือนกรุงปักกิ่งในครั้งนี้ กรมฯ ยังได้เข้าพบหารือกับผู้นำเข้ามันสำปะหลังในจีน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และแลกเปลี่ยนข้อมูลความต้องการสินค้ามันสำปะหลัง ตลอดจนการแปรรูปไปยังอุตสาหกรรมปลายน้ำ เพื่อเป็นการรักษาและขยายตลาดสินค้ามันสำปะหลังในตลาดส่งออกจีนซึ่งจากการหารือฝ่ายไทยได้สร้างความเชื่อมั่นว่าผู้นำเข้าจีนจะได้รับผลผลิตที่มีคุณภาพดีและเพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากไทยได้ให้ความสำคัญกับการวิจัยและพัฒนาพันธุ์มันสำปะหลังมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปริมาณและคุณภาพของผลผลิตมันสำปะหลังไทยอยู่ในระดับที่สูง อีกทั้งไทยได้มีการช่วยเหลือเกษตรกรในการลดต้นทุนการเพาะปลูกซึ่งจะส่งผลดีต่อระดับราคามันสำปะหลังของไทยทั้งระบบตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ทั้งนี้ กรมฯ ยังเดินทางไปเยี่ยมชมท่าเรือเทียนจิน (Tianjin Port) ซึ่งเป็นท่าเรืออัจฉริยะ (Smart Port) ที่เชื่อมโยงไปยังเส้นทางขนส่งที่หลากหลายรวมทั้งมีเส้นทางเดินเรือที่เชื่อมกับท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือกรุงเทพของประเทศไทยโดยตรง ลดระยะเวลาการขนส่งทางทะเล สามารถตอบสนองการเชื่อมโยงตลาดภาคเหนือของจีนที่ต้องการนำเข้าสินค้าจากไทยได้เป็นอย่างดี นับเป็นโอกาสของผู้ส่งออกไทยที่จะพิจารณาเลือกใช้เส้นทางเดินเรือดังกล่าวในการขยายช่องทางการส่งออกสินค้าไทยเข้าสู่ตลาดภาคเหนือของจีนต่อไป
ทั้งนี้ จีนเป็นตลาดส่งออกสินค้ามันสำปะหลังอันดับ 1 ของไทย คิดเป็นร้อยละ 65 ของมูลค่าการส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไทย โดยไทยส่งออกสินค้ามันสำปะหลังไปจีนประมาณ 8 ล้านตัน/ปี ได้แก่ มันเส้น/มันอัดเม็ด ร้อยละ 69 แป้งมันสำปะหลัง ร้อยละ 30 และ สาคู/กากมัน ร้อยละ 1
นายรณรงค์กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมฯ ยังได้ให้ความสำคัญและเร่งแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้าต่างๆ ในการส่งออกสินค้าไปจีน โดยได้เข้าพบหารือกับสำนักงานศุลกากรจีน (General Administration of Customs China: GACC) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่ดำเนินการพิธีการศุลกากร และตรวจสอบย้อนหลังหนังสือรับรองถิ่นกำเนิด Form E ภายใต้กรอบการค้าเสรีอาเซียน-จีน (ACFTA) โดยกรมฯ และ GACC มีแผนเดินหน้าประสานความร่วมมือในการเชื่อมโยงข้อมูลหนังสือรับรองถิ่นกำเนิด Form E ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อยกระดับการอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการไทยในการขอใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี จากปัจจุบันที่ต้องยื่นเอกสารหนังสือรับรองถิ่นกำเนิด Form E ต่อศุลกากรจีนในรูปแบบกระดาษ เป็นสามารถยื่นผ่านระบบในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ มีชื่อเรียกว่า Electronic Origin Data Exchange System: EODES ได้ในอนาคต ซึ่งระบบดังกล่าวจะทำให้เจ้าหน้าที่ศุลกากรจีนสามารถตรวจสอบข้อมูลความถูกต้องของหนังสือรับรองฯ ได้อย่างรวดเร็วทันเวลา (realtime) และจะช่วยป้องกันปัญหาการปลอมแปลงเอกสารหนังสือรับรองฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึงเข้าพบหารือกับสภาส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศแห่งประเทศจีน (China Council for the Promotion of International Trade: CCPIT) โดยกรมฯ และ CCPIT จะมีความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับกฎระเบียบในการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า กฎถิ่นกำเนิด รวมทั้งข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนจีนที่สนใจในการลงทุนในไทย เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนที่ถูกต้องตามกฎระเบียบข้อกำหนด ตลอดจนสามารถผลิตสินค้าได้ถิ่นกำเนิดไทยและสอดคล้องกับกฎถิ่นกำเนิดสินค้าของประเทศปลายทาง ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ไทยถูกดำเนินมาตรการทางการค้าจากต่างประเทศ
นายรณรงค์กล่าวปิดท้ายว่า การจัดคณะผู้แทนเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนในครั้งนี้ ถือว่าบรรลุวัตถุประสงค์ ซึ่งช่วยเรียกความเชื่อมั่นในคุณภาพและมาตรฐานข้าวไทยกลับคืนมาได้ และยังช่วยรักษาและขยายตลาดข้าวและสินค้ามันสำปะหลังของไทยในจีน และการสร้างความร่วมมือในการป้องกันการปลอมหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า การแอบอ้างถิ่นกำเนิด และการหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้าด้วย