วันที่ 12 มิถุนายน 2566 รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และคณะ ลงพื้นที่ ตรวจราชการ ณ ที่ว่าการอำเภอหนองไผ่ จังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยในเขตป่าสงวนแห่งชาติ พร้อมทั้งมอบสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามนโยบายรัฐบาล ในพื้นที่จังหวัดเพชรบูรณ์
โดยมี ดร.รวีวรรณ ภูริเดช ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (ผอ.สคทช.) ร่วมตรวจราชการติดตามความก้าวหน้าในการจัดที่ดินให้กับประชาชนและร่วมพิธีมอบหนังสืออนุญาตและสมุดประจำตัวดังกล่าว ในการนี้ นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ ในฐานะประธาน คทช. จังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นผู้แทนกล่าวต้อนรับและรายงานความเป็นมา ภูมิสังคม รวมถึงผลการดำเนินงานการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน
ตามนโยบายรัฐบาล ในภาพรวมจังหวัดเพชรบูรณ์ จากนั้น รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) ให้เกียรติมอบหนังสืออนุญาตให้เข้าทำประโยชน์หรืออยู่อาศัยภายในเขตป่าสงวนแห่งชาติ จำนวน 13 พื้นที่ (9 ป่า) ประกอบด้วย
1. ป่าวังโป่ง ป่าชนแดน และป่าวังกำแพง เนื้อที่ 45,302 – 0 – 29 ไร่
2. ป่าเขาโปลกหล่น เนื้อที่ 3,560 – 2 – 40 ไร่
3. ป่าเขาปางก่อและป่าวังชมภู เนื้อที่ 22,787 – 0 – 61 ไร่
4. ป่าน้ำหนาว เนื้อที่ 22,580 – 2 -19 ไร่
5. ป่าสองข้างทางสายชัยวิบูลย์ เนื้อที่ 5,427 – 0 – 0 ไร่
6. ป่าโคกซำซาง เนื้อที่ 3,256 – 3 – 41 ไร่
7. ป่าลำกงและป่าคลองตะโก เนื้อที่ 12,391 – 2 – 60 ไร่
8. ป่าลุ่มน้ำป่าสัก เนื้อที่ 14,288 – 3 – 10 ไร่
9. ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำป่าสัก เนื้อที่ 80,921 – 2 – 23 ไร่
พร้อมทั้งสมุดประจำตัวผู้ได้รับการคัดเลือกให้ทำกินในชุมชนตามนโยบายรัฐบาล (คทช.) พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ ป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำป่าสัก จำนวน 3,906 ราย ให้กับผู้แทนประชาชนจากอำเภอหนองไผ่ อำเภอบึงสามพัน อำเภอวิเชียรบุรี และอำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรี (พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ) มีข้อสั่งการ ขอให้ ทุกหน่วยงาน ทั้งส่วนกลางส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกันบูรณาการขับเคลื่อนนโยบายการจัดที่ดินทำกินให้ชุมชน คทช.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ในพื้นที่ คทช. อย่างต่อเนื่อง ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมทั้ง กล่าวขอบคุณทุกหน่วยงานที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนนโยบายการจัดที่ดินทำกินของรัฐบาล เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วน หากมี ปัญหา อุปสรรค ขอให้ประสานคณะอนุกรรมการนโยบายที่ดินจังหวัด หรือ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาต่อไป