ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.60 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แม้ว่าการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ มีโอกาสที่จะยืดเยื้อและกดดันบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสแรกและยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรกที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงแรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นเทคฯ ใหญ่ อย่าง Nvidia +24.4% ซึ่งประกาศผลประกอบการที่ดีกว่าคาดจากแนวโน้มธุรกิจที่ใช้ AI ทำให้หุ้นในธีมการลงทุนเกี่ยวกับ AI ต่างปรับตัวขึ้น อาทิ AMD +11.2%, Microsoft +3.9% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (ExxonMobil -1.8%, Chevron -1.7%) ตามการปรับตัวลงแรงของราคาน้ำมันดิบ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +1.7% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.88%

ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พยายามรีบาวด์ขึ้น ก่อนที่จะปิดตลาด -0.32% กดดันโดยการปรับตัวลดลงของหุ้นกลุ่มพลังงาน (TotalEnergies -3.3%) หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงกว่า -3% จากการที่ทางการรัสเซียประกาศไม่สนับสนุนการลดกำลังการผลิตเพิ่มเติมโดยกลุ่ม OPEC+ รวมถึงความกังวลต่อแนวโน้มการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป ยังพอได้แรงหนุนจาก การปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม Semiconductor (ASML +5.0%) ตามกระแสการลงทุนในธีมการลงทุนเกี่ยวกับ AI

ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งต่างยังคงสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินที่ตึงตัวต่อไป รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงินที่เริ่มเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านที่เราเคยประเมินไว้ สู่ระดับ 3.82% ส่งผลให้กรอบการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจขยับขึ้นมาเป็นโซน 3.70%-3.90% ซึ่งเราคงมองว่า หากไม่มีปัจจัยหนุนชัดเจน เช่น เฟดมีโอกาสขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ระยะยาวควรเป็นไปอย่างจำกัดและผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ ต่างก็รอเข้าซื้อบอนด์ในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น (Buy on Dip)

ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.2 จุด หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่าเฟดมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอีกได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นบางส่วนก็เลือกที่จะถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ ส่วนในฝั่งราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เป็นปัจจัยที่กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่ระดับ 1,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลุดจากโซนแนวรับของราคาทองคำในระยะสั้นแถว 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่ยังมีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มราคาทองคำอาจยังคงทยอยซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจ จะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ในเดือนเมษายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดมองว่าอาจอยู่ที่ระดับ 4.3% (อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core PCE อาจทรงตัวที่ระดับ 4.6%) โดยหากอัตราเงินเฟ้อ PCE ออกมาสูงกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมเดือนมิถุนายนได้ (แต่เราคงมุมมองเดิมว่า เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25%) อนึ่ง ปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ จะเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ โดยผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามความคืบหน้าของการเจรจาขยายเพดานหนี้ (Debt Ceiling) อย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดก็รอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก อาทิ เฟด และธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินในระยะถัดไป

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท ในช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทได้ปรับตัวอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 34.70-34.75 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ รวมถึงโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว

เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าลงต่อได้ในวันนี้ แต่การอ่อนค่าของเงินบาทอาจไม่ได้รุนแรงมากจนทะลุโซนแนวต้านสำคัญ หรืออาจไม่ได้อ่อนค่าจนทะลุระดับ 34.75 บาทต่อดอลลาร์ ไปไกลมาก หรืออาจติดอยู่ในโซน 34.80 บาทต่อดอลลาร์ ยกเว้นว่าจะมีแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติที่รุนแรง ซึ่งเรามองว่า บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจเริ่มอยู่ในโหมด wait and see เพื่อรอจับตาการเจรจาขยายเพดานหนี้สหรัฐฯ รวมถึงรอติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทยในวันพุธหน้า ซึ่งในส่วนของการประชุม กนง. นั้น เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า กนง. มีโอกาสส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อจนอาจสูงกว่าระดับ 2.00% ที่เคยประเมินกันไว้ เช่น ระดับ 2.25% ทำให้ ผู้เล่นบางส่วนอาจรอทยอยเข้าซื้อบอนด์ไทยหลังจากที่บอนด์ยีลด์ได้ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมาสะท้อนมุมมองดังกล่าวไปแล้วพอสมควร นอกจากนี้ เราประเมินว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านในการขายทำกำไรสถานะ Short THB และผู้เล่นบางส่วนก็อาจเริ่มกลับมา Long THB บ้าง (แต่ยังคงไม่เยอะมาก จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการเมืองไทย หรือแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งต้องรอจับตาผลการประชุมเฟดเดือนมิถุนายน)

นอกจากนี้ เนื่องจากเงินบาทยังขาดปัจจัยหนุนฝั่งแข็งค่า โดยเฉพาะหากนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมาซื้อสินทรัพย์ไทยชัดเจน เราประเมินว่า แนวรับของเงินบาทก็อาจยังคงอยู่ในช่วง 34.40-34.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราเห็นผู้เล่นบางส่วน อาทิ ผู้นำเข้าทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงปลายเดือน

ทั้งนี้ เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองสหรัฐฯ (ประเด็นขยายเพดานหนี้) และการเมืองไทย ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.50-34.80บาท/ดอลลาร์