“กรมทะเลชายฝั่ง” พบปะเครือข่ายทางทะเล สัญจร ครั้งที่ 2 แลกเปลี่ยนองค์ความรู้เสริมสร้างงานอนุรักษ์ฯ ชายฝั่งให้สมบูรณ์และยั่งยืน

วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายอภิชัย เอกวนากุล รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า สถานการณ์ปัจจุบันพบว่ามีการทำลายทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทั้งโดยเจตนาและรู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นจำนวนมาก ในขณะที่เจ้าหน้าที่ของกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งมีไม่เพียงพอต่อการดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทั้งประเทศ จึงจำเป็นจะต้องอาศัยพลังของเครือข่ายชุมชนชายฝั่งและอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลในพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการพิทักษ์รักษาทะเลและชายฝั่ง ดังนั้น อาสาสมัครพิทักษ์ทะเลจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการดูแลจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง

เนื่องจากเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดและได้รับผลกระทบโดยตรง ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ที่ต้องการให้ภาคประชาชนในท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการบริหารจัดการทรัพยากรของตัวเอง โดยมอบหมายให้นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คอยกำกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในการดำเนินงานด้านการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายชุมชนชายฝั่งและอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลอย่างต่อเนื่อง รวมถึงขับเคลื่อนการทำงานตามกรอบแนวคิดร่วมกันในการจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอย่างมีประสิทธิภาพ ผสานความเข้มแข็งของภาคีเครือข่ายชุมชนชายฝั่งและอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลให้เป็นหนึ่งเดียว ซึ่งปัจจุบันกรม ทช. ได้ส่งเสริมให้เครือข่ายชุมชนชายฝั่งทั้ง 24 จังหวัดชายฝั่งทะเล และเครือข่ายอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลทั่วประเทศเข้ามามีบทบาทในการปกป้อง คุ้มครอง ดูแลทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อีกทั้งประชาสัมพันธ์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารเพื่อสร้างการรับรู้และเข้าใจอย่างถูกต้องและเหมาะสมแก่สาธารณะ

นายอภิชัย กล่าวว่า กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ดำเนินการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายชุมชนชายฝั่งและอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล เพื่อส่งเสริม สนับสนุน ความร่วมมือภาคีเครือข่ายในการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ผ่านการประชุมเครือข่ายภาคีชุมชนชายฝั่ง อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล (อสทล.) และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครั้งที่ 2 ในท้องที่จังหวัดตรัง และจังหวัดสตูล จัดโดยกองจัดการชุมชนชายฝั่งและเครือข่าย ร่วมกับสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 7 (ตรัง) ซึ่งในครั้งนี้จัดขึ้น ณ มูลนิธิอันดามัน ตำบลควนปริง อำเภอเมือง จังหวัดตรัง

โดยมี นายไมตรี แสงอริยนันท์ ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 7 พร้อมด้วย ดร.แสงจันทร์ วายทุกข์ ผู้อำนวยการกองจัดการชุมชนชายฝั่งและเครือข่าย ตลอดจนผู้แทนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ทรงคุณวุฒิด้านทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นที่จังหวัดตรัง และจังหวัดสตูล เข้าร่วมประชุมจำนวน 100 คน สำหรับจังหวัดตรัง เป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีพื้นที่ติดกับทะเลอันดามัน มีศักยภาพและความสวยงามของทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวได้ทั้งทางบกและทางทะเล แต่การท่องเที่ยวทางทะเลจะได้รับความนิยมสูงมากกว่า เหตุผลเพราะจังหวัดตรังมีเกาะและแหล่งระบบนิเวศทางทะเลที่สมบูรณ์และสวยงาม

จากการรายงานของกองจัดการชุมชนชายฝั่งและเครือข่าย ทราบว่า จังหวัดตรังมีกลุ่มเครือข่ายชุมชนชายฝั่ง ทั้งสิ้น 71 กลุ่ม/1,401 คน และอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ทั้งสิ้น 2,005 คน ส่วนจังหวัดสตูลมีกลุ่มเครือข่ายชุมชนชายฝั่ง ทั้งสิ้น 85 กลุ่ม/1,705 คน และอาสาสมัครพิทักษ์ทะเล ทั้งสิ้น 1,335 คน โดยเครือข่ายชุมชนชายฝั่งและอาสาสมัครพิทักษ์ทะเลในพื้นที่จังหวัดตรังและจังหวัดสตูล ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการประมง การแปรรูปสินค้าทะเล และการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ซึ่งเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้กับชุมชนชายฝั่งด้วยการนำทรัพยากรที่มีอยู่ในชุมชนมาพัฒนาสร้างมูลค่าตามแนวคิด “Save Marine for My Life” หรือการเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและสนับสนุนภารกิจของชุมชนชายฝั่ง เพื่ออนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง “หน้าบ้านใครหน้าบ้านมัน” ร่วมกับชุมชนชายฝั่งที่เป็นสมาชิกและขึ้นทะเบียนกับกรม ทช. ในการดำเนินการปกป้อง ฟื้นฟู ทรัพยากรทางทะเลหน้าบ้านของตนเองให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ผ่านกระบวนการต่างๆ ได้แก่

การจัดสร้างแนวเขตอนุรักษ์ การสร้างธนาคารสัตว์น้ำ การวางซั้งประเภทต่างๆ การวางปะการังเทียม การทำธุรกิจโฮมสเตย์เยี่ยมชมวิถีชีวิตชุมชนในพื้นที่ พร้อมเยี่ยมชมแปลงปลูกหญ้าทะเล และนั่งเรือชมพะยูนรอบเกาะลิบง จ.ตรัง เป็นต้น เพื่อให้ผู้ที่ประกอบอาชีพประมงพื้นบ้านได้อาศัยทำมาหากินบริเวณหน้าบ้านของตนเอง ด้วยเครื่องมือที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างพอเพียงและเพียงพอ อันเป็นการแก้ไขปัญหาสังคม เศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี

นอกจากนี้ การประชุมดังกล่าวได้มีการพบปะพูดคุยถึงแนวทางการดำเนินงานระหว่างกรม ทช. ชุมชนชายฝั่ง อาสาสมัครพิทักษ์ทะเล และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลการดำเนินกิจกรรมร่วมกันเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตลอดจนการป้องกันปราบปรามทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อย่างไรก็ตาม การประชุมในครั้งที่ 3 กรม ทช. จะนำนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ลงพื้นที่เพื่อมอบความรู้และช่วยแก้ไขปัญหาด้านทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่ง และป่าชายเลน รวมถึงสัตว์ทะเลหายากแก่พี่น้องเครือข่ายฯ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรสาคร และจังหวัดสมุทรสงคราม ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในห้วงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2566 ณ พื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร

สุดท้ายนี้ กรม ทช. พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง วางกรอบแผนเพื่อสร้างแนวคิดใหม่ รวมถึงสนับสนุนสวัสดิการและจัดสรรงบประมาณโครงการของเครือข่ายชุมชนชายฝั่ง ตลอดจนผลักดันแนวเขตพื้นที่และมาตรการคุ้มครองทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ประเภทสัตว์ทะเลหายาก และใกล้สูญพันธุ์ แหล่งหญ้าทะเล และแหล่งอาศัย หรือหากินของสัตว์ทะเลหายากหรือใกล้สูญพันธุ์ในท้องที่ อำเภอปะเหลียน อำเภอหาดสำราญ อำเภอย่านตาขาว อำเภอกันตรัง และอำเภอสิเกา จังหวัดตรัง พ.ศ. 2565 ผ่านการประชุมคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ

อีกทั้งเปิดโอกาสให้พี่น้องเครือข่ายชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปกป้องคุ้มครองทรัพยากรป่าชายเลน โดยการขึ้นทะเบียนป่าชายเลนชุมชน ผสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อช่วยกันสอดส่องดูแลระบบนิเวศทางทะเล ทั้งด้านการบุกรุกตัดไม้ป่าชายเลน การทำลายปะการัง หญ้าทะเล การจัดการขยะทะเล และสัตว์ทะเลหายากเกยตื้น โดยเฉพาะพะยูน ซึ่งเป็นสัตว์ประจำถิ่นในท้องที่จังหวัดตรัง และจังหวัดสตูล ที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักและร่วมมือร่วมใจปกป้อง คุ้มครอง ดูแลพะยูนและหญ้าทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารและที่อยู่อาศัยของพะยูน และอยากให้ทุกคนเห็นภาพตรงกันว่า การอนุรักษ์พะยูนไม่เพียงแค่เป็นการอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากชนิดหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องรักษาบ้านของพะยูนซึ่งหมายถึงแหล่งหญ้าทะเลด้วย และเมื่อใดมีแหล่งหญ้าทะเลที่สมบูรณ์ ย่อมหมายถึงการมีแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำวัยอ่อนและทะเลที่สมบูรณ์ ดังนั้น มิติของการอนุรักษ์พะยูนจึงเป็นการรักษาความสมบูรณ์ของท้องทะเลไทยอีกด้วย “ นายอภิชัย กล่าวในที่สุด”