นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ร้อง 2 ราย เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ระบุว่า ภายหลังหน่วยงานราชการต้นสังกัดมีคำสั่งไล่ผู้ร้องออกจากราชการแล้ว ผู้ร้องทั้งสองได้ใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ซึ่งรายหนึ่ง ก.พ.ค. ได้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2562 อีกรายหนึ่งได้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2562 แต่จนกระทั่งเดือนเมษายน 2565 ผู้ร้องทั้งสองยังไม่ได้รับทราบผลการพิจารณาอุทธรณ์จาก ก.พ.ค. แต่อย่างใด จึงร้องเรียนมาเพื่อขอความเป็นธรรม
กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนแล้ว เห็นว่า คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม หรือ ก.พ.ค. จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เพื่อแก้ไขอุปสรรคในการดำเนินการทางวินัยของข้าราชการพลเรือน เช่น ความไม่เป็นธรรมและมาตรฐานโทษที่เหลื่อมล้ำกัน ความล่าช้าในการพิจารณาสอบสวน และความซับซ้อนในการทำความเข้าใจในเรื่องกฎหมายและระเบียบทางวินัย เป็นต้น ซึ่งการอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองถือเป็นกระบวนการในการคุ้มครองสิทธิของบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากคำสั่งทางปกครองนั้น ให้ได้รับโอกาสในการโต้แย้งคำสั่งเพื่อให้มีการทบทวน แก้ไข หรือเพิกถอนคำสั่ง อันถือเป็นการอำนวยความยุติธรรมทางปกครอง
สำหรับกรณีตามคำร้องทั้งสองนั้น ผู้ร้องทั้งสองได้ใช้สิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งลงโทษทางวินัยต่อ ก.พ.ค. โดยที่พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ได้วางกรอบเวลาของการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายใน 120 วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ เว้นแต่มีเหตุขัดข้องที่ทำให้การพิจารณาไม่แล้วเสร็จก็ให้ขยายเวลาได้อีกซึ่งไม่เกิน 2 ครั้ง โดยแต่ละครั้งจะต้องไม่เกิน 60 วัน รวมระยะเวลาอย่างช้าที่สุดในการพิจารณาวินิจฉัยของ ก.พ.ค. ต้องแล้วเสร็จภายใน 240 วันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์
อย่างไรก็ดี ปรากฏข้อเท็จจริงว่าในขณะที่ กสม. ได้รับคำร้องทั้งสองนี้ ก.พ.ค. ยังดำเนินกระบวนการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องทั้งสองไม่แล้วเสร็จ โดยเป็นระยะเวลานานกว่า 3 ปี นับแต่ได้รับอุทธรณ์เมื่อปี 2562 อันไม่เป็นไปตามกรอบระยะเวลาตามที่กฎหมายกำหนด ซึ่งในช่วงเวลาระหว่างนั้น ผู้ร้องทั้งสองถือเป็นผู้ถูกลงโทษให้ไล่ออกจากราชการจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินเดือนหรือค่าตอบแทนใด ๆ รวมทั้งไม่ได้รับสิทธิประโยชน์อันพึงมีของข้าราชการ เป็นเวลายาวนานไปจนกว่า ก.พ.ค. จะมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้แก้ไขหรือยกเลิกคำสั่งลงโทษ หรือในกรณีที่ผู้ร้องทั้งสองไม่เห็นด้วยกับคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค. ก็จะต้องนำคดีไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองสูงสุด ซึ่งทำให้ระยะเวลาต้องยาวนานออกไปอีกจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษาคดีอันเป็นที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงเห็นว่า ความล่าช้าในกระบวนการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ก.พ.ค. ย่อมกระทบต่อสิทธิของผู้ร้องซึ่งมีสถานะเป็นผู้อุทธรณ์ ทั้งสิทธิที่จะได้รับการเยียวยาความเสียหายและสิทธิประโยชน์อื่น ๆ จึงถือเป็นการกระทำหรือการละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาประเด็นปัญหาความล่าช้าในเชิงระบบ พบว่า ก.พ.ค. มีข้อจำกัดด้านอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่ที่มีจำนวนน้อยกว่า 30 คน ซึ่งไม่สอดคล้องกับภารกิจซึ่งปัจจุบันมีเรื่องอุทธรณ์ทั้งเรื่องเดิมและเรื่องรับใหม่กว่า 1,000 เรื่อง ทั้งปัจจุบันยังไม่มีการตรากฎหมายให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่สนองต่อภารกิจซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.พ.ค. โดยตรง ทำให้มีข้อจำกัดในเรื่องอำนาจการบริหารงานซึ่งไม่อาจทำได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะในเรื่องขอรับการจัดสรรงบประมาณและการกำหนดอัตรากำลังของเจ้าหน้าที่ ด้วยเหตุนี้ กสม. ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 จึงเห็นควรมีข้อเสนอแนะในการป้องกันและแก้ไขปัญหา สรุปได้ดังนี้
1) ให้ ก.พ.ค. ดำเนินการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ของผู้ร้องให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อเป็นการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น และพิจารณาทบทวนแก้ไขหรือปรับปรุงกฎ ก.พ.ค. ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ. 2551 เพื่อให้สอดคล้องกับหลักการตามพระราชบัญญัติกำหนดระยะเวลาดำเนินงานในกระบวนการยุติธรรม พ.ศ. 2565 โดยประการสำคัญคือ ต้องไม่กระทบต่อความเป็นธรรมที่จะอำนวยให้แก่คู่กรณีทั้งสองฝ่าย และให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (สำนักงาน ก.พ.) สนับสนุนอัตรากำลังในตำแหน่งนิติกรมาเป็นกรณีพิเศษโดยเร่งด่วน เพื่อให้เพียงพอกับปริมาณงานด้านการพิจารณาอุทธรณ์ซึ่งมีอยู่จำนวนมาก ทั้งนี้ ภายใน 120 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งรายงานผลการตรวจสอบนี้
2) ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาแก้ไขหรือปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้มีหน่วยงานที่มีหน้าที่สนองต่อภารกิจซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.พ.ค. โดยตรง รวมทั้งควรทบทวนปรับปรุงบทบาทอำนาจหน้าที่ในส่วนของการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ โดยปรับบทบาทให้มีความยืดหยุ่นในการระงับข้อขัดแย้งอันเกิดจากการบริหารงานบุคคลแทนบทบาทเดิมที่พิจารณาในลักษณะองค์กรตุลาการ ในส่วนเรื่องร้องทุกข์ที่ไม่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของ ก.พ.ค. นั้น อาจมีการปรับปรุงกฎหมายให้มีการร้องทุกข์ไปยังคณะอนุกรรมการสามัญประจำกรม (อ.ก.พ. กรม) หรือ คณะอนุกรรมการสามัญประจำจังหวัด (อ.ก.พ. จังหวัด) เพื่อให้การปฏิบัติงานของ ก.พ.ค. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นธรรมและไม่ล่าช้า