วันที่ 12 ธันวาคม 2565 นายแพทย์ปรีชา เปรมปรี รองอธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมด้วย Mr.Eamonn Murphy รองผู้อำนวยการโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ และ Mr. Taoufik Bakkali รักษาการผู้อำนวยการโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) ประจำภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก
นำทีมผู้แทนด้านเอดส์จากทั่วโลก ร่วมลงพื้นที่ศึกษาดูงานหน่วยบริการด้านเอชไอวี/เอดส์ ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างวันที่ 12-13 ธันวาคม 2565 ภายใต้แนวคิด “ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางเสริมสร้างพลังภาคีเครือข่ายและบูรณาการแก้ไขปัญหาเอชไอวี เข้าสู่หลักประกันสุขภาพ เพื่อยุติปัญหาเอดส์ในปี พ.ศ. 2573: บทเรียนจากการแก้ไขปัญหาเอดส์”
เนื่องในวันที่ 12 ธันวาคม ของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็นวันหลักประกันสุขภาพสากล กระทรวงสาธารณสุข โดย กรมควบคุมโรค กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ พร้อมด้วยสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ โครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) และภาคประชาสังคม จัดกิจกรรมลงพื้นที่ศึกษาดูงาน ควบคู่กับการประชุมคณะกรรมการบริหารของโครงการโรคเอดส์แห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 51 (The 51st UNAIDS Programme Coordinating Board Meeting : PCB)
นายแพทย์ปรีชา กล่าวว่า สำหรับการลงพื้นที่ศึกษาดูงานแบ่งออกเป็น 2 วัน วันละ 4 แห่ง รวมเป็น 8 แห่ง ประกอบด้วย มูลนิธิเอ็มพลัส เชียงใหม่, มูลนิธิแคร์แมท เชียงใหม่, ศูนย์ลดอันตรายจากยาเสพติด เชียงใหม่, โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านหัวริน, โรงพยาบาลสันป่าตอง, โรงพยาบาลสารภี, โรงพยาบาลธัญญารักษ์ และทัณฑสถานหญิงเชียงใหม่ เพื่อแลกเปลี่ยนบทเรียนและนำเสนอการดำเนินงานแก้ไขปัญหาเอดส์ในพื้นที่ จากการบูรณาการอย่างครอบคลุมทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 95 – 95 – 95 ในการเข้าถึงบริการ และเป้าหมาย 10-10-10
เพื่อลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับเอชไอวี ของหน่วยบริการสุขภาพที่มีองค์กรภาคประชาสังคมเป็นส่วนหนึ่งของหน่วยบริการสุขภาพในการเข้าถึงและจัดบริการตรวจหาเอชไอวี ซึ่งปัจจุบันได้ยกระดับเป็นหน่วยบริการสุขภาพที่ผ่านการรับรองมาตรฐานโดยกระทรวงสาธารณสุข และจดทะเบียนเป็นองค์กรที่สามารถเบิกจ่ายจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพ เพื่อให้บริการกับกลุ่มประชากรหลัก เช่น กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย พนักงานบริการทางเพศ คนข้ามเพศ แรงงานข้ามชาติ ผู้ต้องคุมขัง และผู้ใช้สารเสพติด
นอกจากนี้หน่วยบริการสุขภาพในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ยังได้เชื่อมโยงบริการเอชไอวีระหว่างชุมชนและสถานบริการสุขภาพ ผ่านโครงการสานพลังเพื่อขจัดการตีตราและเลือกปฏิบัติ และการติดตามการจัดบริการที่นำโดยชุมชน เพื่อลดการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากเอชไอวียังคงเป็นอุปสรรคสำคัญในการบรรลุเป้าหมายการยุติปัญหาเอดส์ รัฐบาลไทยจึงมีความมุ่งมั่นที่จะเอาชนะความท้าทายนี้ และได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของโครงการทั่วโลกสานพลังเพื่อยุติการตีตราและการเลือกปฏิบัติอันเนื่องมาจากเอชไอวีทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นใน 6 ภาคส่วน ประกอบด้วย
1) ภาคส่วนชุมชน หมู่บ้าน และครอบครัว รวมถึงชุมชนเฉพาะกลุ่ม
2) ภาคส่วนการทำงาน
3) ภาคส่วนการดูแลสุขภาพ
4) ภาคส่วนการศึกษา
5) ภาคส่วนการยุติธรรมและกฎหมาย
6) ภาคการช่วยเหลือในภาวะฉุกเฉินและเพื่อมนุษยธรรม

นายแพทย์ปรีชา กล่าวต่ออีกว่า การลงพื้นที่ศึกษาดูงานในครั้งนี้ มีผู้แทนจากประเทศสมาชิก 22 ประเทศ หน่วยงาน UN Cosponsors 11 องค์กร และ องค์กรเอกชนต่างประเทศ 5 องค์กร นับเป็นการลงพื้นที่ศึกษาดูงานด้านเอชไอวี/เอดส์ ครั้งสำคัญเพื่อนำไปสู่การแลกเปลี่ยนบทเรียนการดำเนินงานของไทยที่เน้นคนเป็นศูนย์กลาง ภายใต้ความร่วมมือของทุกภาคส่วน และการบูรณาการเข้าสู่ระบบหลักประกันสุข
เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งจะเป็นตัวอย่างและเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้แทนประเทศสมาชิกในการนำบทเรียนไปประยุกต์ว่า แม้ว่าไทยจะเป็นประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด แต่สามารถพัฒนาแผนงานโครงการเอดส์ที่มีประสิทธิภาพและมีความก้าวหน้า ภายใต้ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการยุติปัญหาเอดส์ภายในปี 2573 โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

