สธ.แจงสังคม กัญชามีประโยชน์มากกว่าโทษ หยุดเปรียบเทียบยาบ้าที่หาประโยชน์ไม่เจอ ยกผลวิจัยต่างชาติยันกัญชาเป็นพืชสมุนไพรแห่งความหวังของวงการแพทย์
เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2565 นายแพทย์ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายกัญชาเสรีทางการแพทย์ ได้ชี้แจงถึง กระแสข่าวของการปลดกัญชาออกจากรายการยาเสพติดให้โทษ เท่ากับเป็นการซ้ำเติมสังคมให้มียาเสพติดออกมาในสังคมมากขึ้น โดยเปรียบกัญชาเป็นยาเสพติดที่เทียบเท่ากับยาบ้า ว่า เจตนารมณ์ในการปลดกัญชาออกจากยาเสพติดให้โทษนั้น เพราะประโยชน์ของกัญชามากกว่าโทษ ซึ่งแตกต่างจากยาบ้าที่ไม่มีประโยชน์เลยมีแต่โทษ
ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อน ฯ ได้ออกมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กัญชาเป็นสมุนไพรพื้นบ้านของประเทศไทยที่มีการใช้เพื่อดูแลสุขภาพของคนไทยมานาน ในอดีตไม่เพียงแต่ประเทศไทยเท่านั้นที่ใช้กัญชาเป็นพืชสมุนไพร แต่ทุกประเทศในอาเซียนก็มีประสบการณ์นี้เช่นกัน และความรู้ก็แพร่ไปยังยุโรป จนเกิดการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวาง และนำมาใช้ในการรักษาโรคบรรเทาความเจ็บป่วยในปัจจุบัน นับเป็นหนึ่งในความหวังของวงการแพทย์ที่จะถูกนำมาใช้ในการรักษาโรคที่รักษาด้วยยามาตรฐานไม่ได้ผล การปลดพืชกัญชาจากยาเสพติดเป็นการทำงานที่ต่อเนื่อง อย่างเป็นขั้นตอน เริ่มจากอนุญาตให้ใช้ทางการแพทย์ และขยายขอบเขตสู่สุขภาพชุมชน และเศรษฐกิจในที่สุด
“ในด้านการออกฤทธิ์นั้น กัญชามีฤทธิ์ทำให้สงบ ส่วนยาบ้ามีฤทธิ์กระตุ้นประสาท ดังนั้นการเปรียบเทียบว่าเหมือนกันคงไม่ได้ ส่วนระดับความรุนแรงนั้นก็แตกต่างกัน ในหลายประเทศจัดให้กัญชาเป็น Soft drug คือ ยาเสพติดที่ไม่รุนแรง และถูกนำมาใช้ในการลดอันตรายจากการใช้ยาและสารเสพติดที่มีโทษรุนแรงกว่า โดยมีผลงานวิจัยในต่างประเทศที่เห็นเด่นชัด คือ การใช้เพื่อลดอันตรายจากการใช้ยากลุ่มแก้ปวดโอปิออยด์ในขนาดสูง การรักษาภาวะติดเหล้า บุหรี่ และอาจมีผลลดการเสพติดสารแอมเฟตามีน ซึ่งองค์ความรู้ของไทยก็มีเรื่องนี้เช่นกัน เช่น ตำรับยาอดฝิ่นที่มีกัญชาเป็นส่วนผสม ส่วนยาบ้า เป็น hard drug ที่ทุกประเทศห้ามประชาชนตัวเองมีไว้ในครอบครอง จึงอยากจะชี้แจงให้ประชาชนได้รับทราบ การปลดพืชกัญชาจากยาเสพติด”
นพ.ประพนธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงสาธารณสุขมีระบบการเฝ้าระวังการนำไปใช้ในทางที่ผิด ตามที่ได้เคยชี้แจงให้สังคมได้ทราบแล้ว และหลังจากปลดล็อคกัญชา ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมาเรายังไม่พบการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนของการใช้กัญชาในทางที่ผิด ตามข้อมูลของกรมการแพทย์ พบว่าระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา พบข้อมูลผู้เข้ารับการบำบัดในส่วนการติดกัญชาค่อนข้างคงที่ พบจำนวนผู้ใช้ที่มีอาการไม่พึงประสงค์จำนวนเล็กน้อยไม่พบอาการรุนแรง ในขณะที่รายงานจากทั่วโลกพบว่า กลุ่มยาเสพติดเป็นเภทสารสังเคราะห์ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คือ แอมเฟตามีน หรือ ยาบ้าที่ครองอันดับหนึ่ง โดยมีรายงานผู้เข้ารับการบำบัดมากที่สุดอยู่ที่ 77.55% และ ที่ต้องจับตามอง คือ เฮโรอีนที่พบว่าจำนวนผู้เข้ารับการบำบัดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และขอความกรุณาให้รัฐบาลเร่งรัดให้มีการออกพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง โดยเร่งด่วน เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์สูงสุดของพืชสมุนไพรชนิดนี้” ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนกล่าวทิ้งท้ายถึงรัฐบาล