รายงานสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ำ ประจำวันที่ 8 ตุลาคม 2565

กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ขอรายงานสถานการณ์และการบริหารจัดการน้ำ ประจำวันที่ 8 ตุลาคม 2565 ดังนี้

1. ประกาศกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ

1.1 ประกาศกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ฉบับที่ 48/2565 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2565 กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ
เฝ้าระวังระดับน้ำแม่น้ำชี ในวันที่ 6 ตุลาคม 2565 ปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนอุบลรัตน์ ประมาณ 170 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งสามารถระบายออกได้เพียงวันละ 41 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่งผลให้มีปริมาณน้ำไหลลงเขื่อนอุบลรัตน์ ทำให้ระดับน้ำเพิ่มจนเกินระดับเก็บกักสูงสุดและยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่ระดับน้ำ + 183.35 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง สูงกว่าระดับเก็บกักปกติ 1.15 เมตร ปัจจุบันมีปริมาตรน้ำ 2,878 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 119 มีปริมาตรเกินความจุ 458 ล้านลูกบาศก์เมตร และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยได้มีหนังสือถึงกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ แจ้งเตือนระดับน้ำเขื่อนอุบลรัตน์เข้าสู่สภาวะวิกฤต ระดับ 3 คาดการณ์ว่าระดับน้ำจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงระดับวิกฤตหรือสูงกว่าคันดินโนนสัง ซึ่งเป็นคันดินป้องกันชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณรอบเขื่อนอุบลรัตน์เพื่อควบคุมปริมาณน้ำในเขื่อนอุบลรัตน์ให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมเพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของตัวเขื่อน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยจึงมีความจำเป็นต้องปรับเพิ่มการระบายน้ำ ตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคม 2565 ซึ่งจะทำให้พื้นที่ท้ายเขื่อนอุบลรัตน์มีระดับน้ำสูงขึ้นและอาจกระทบต่อพื้นที่ลุ่มต่ำ บริเวณอำเภออุบลรัตน์ เขาสวนกวาง ซำสูง น้ำพอง และเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น เฝ้าระวังพื้นที่ลุ่มต่ำริมแม่น้ำที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมในปัจจุบันจะมีระดับน้ำเพิ่มสูงขึ้นอีก และเฝ้าระวังพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำชี ตั้งแต่จังหวัดขอนแก่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และยโสธร

1.2 ประกาศกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ฉบับที่ 49/2565 ลงวันที่ 6 ตุลาคม 2565 กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ
เฝ้าระวังระดับน้ำบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ในวันที่ 6 ตุลาคม 2565 มีปริมาณน้ำไหลผ่านบริเวณจังหวัดนครสวรรค์ (C.2) อยู่ในเกณฑ์ 3,077 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ซึ่งปริมาณน้ำดังกล่าวจะไหลมารวมกับแม่น้ำสะแกกรังและลำน้ำสาขาไหลเข้าเขื่อนเจ้าพระยา โดยกรมชลประทานได้พิจารณารับน้ำเข้าคลองฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออกเต็มศักยภาพคลองที่สามารถรองรับน้ำได้ ปัจจุบันระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาอยู่ที่ +17.64 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งสูงกว่าระดับเก็บกัก 1.14 (+16.50 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง) เพื่อรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของบานระบายน้ำและตัวเขื่อนเจ้าพระยา กรมชลประทานจำเป็นต้องควบคุมระดับน้ำด้านเหนือเขื่อนเจ้าพระยา ให้อยู่ในเกณฑ์ +17.60 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณน้ำไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นอยู่ในอัตรามากกว่า 2,900 – 3,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2565 ประกอบกับกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) ได้คาดการณ์ระดับน้ำทะเลหนุน ส่งผลให้ระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณกองบัญชาการกองทัพเรือ กรุงเทพมหานคร ป้อมพระจุลจอมเกล้าฯ จังหวัดสมุทรปราการ และพื้นที่ใกล้เคียง จะเพิ่มสูงขึ้นกว่าปกติ โดยระดับน้ำจะมีความสูงประมาณ 1.90 – 2.20 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ในช่วงวันที่ 8 – 13 ตุลาคม 2565 จึงขอให้เฝ้าระวังผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ตั้งแต่ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท อำเภออินทร์บุรี เมืองสิงห์บุรี และพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี อำเภอป่าโมก และไชโย คลองโผงเผง จังหวัดอ่างทอง คลองบางบาล อำเภอเสนา และผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นประมาณ 0.10 – 0.15 เมตร และบริเวณตั้งแต่อำเภอบางไทร จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จังหวัดปทุมธานี จังหวัดนนทบุรี กรุงเทพมหานคร และจังหวัดสมุทรปราการ ระดับน้ำจะเพิ่มสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 0.15 – 0.30 เมตร

2. สถานการณ์น้ำท่วม
จากอิทธิพลร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมีหย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมภาคเหนือด้านตะวันตก ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังค่อนข้างแรงยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย ประกอบกับสถานการณ์พายุ “โนรู ที่เข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย. 65 ทำให้มีฝนตกหนังถึงหนักมากบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง ภาคใต้ ส่งผลให้มีสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่เกษตรกรรมและชุมชนเมือง รวม 37 จังหวัด ภาคเหนือ จำนวน 11 จังหวัดประกอบด้วยจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง พะเยา สุโขทัย พิจิตร ตาก กำแพงเพชร อุทัยธานี เพชรบูรณ์ และนครสวรรค์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 13 จังหวัดประกอบด้วยจังหวัดเลย ชัยภูมิ ขอนแก่น หนองบัวลำภู อุดรธานี ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยโสธร อุบลราชธานี นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และสุรินทร์ ภาคกลาง จำนวน 9 จังหวัดประกอบด้วยจังหวัด ลพบุรี สระบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท สุพรรณบุรี และนครปฐม ภาคตะวันออก จำนวน 3 จังหวัดประกอบด้วยจังหวัดปราจีนบุรี นครนายก และสระแก้ว ภาคใต้ จำนวน 1 จังหวัดประกอบด้วยจังหวัดนครศรีธรรมราช