อธิบดีกรมชลประทาน เผย เร่งเดินหน้าบริหารจัดการน้ำในอ่างฯ เพื่อรองรับสถานการณ์ฝนจากอิทธิพลพายุ โนรู

นายประพิศ  จันทร์มา อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ของกรมอุตุนิยมวิทยา เรื่องพายุ โนรู ที่จะเคลื่อนขึ้นฝั่งประเทศเวียดนามตอนกลางในวันที่ 28 กันยายน 2565 และจะอ่อนกำลังลงเป็นพายุโซนร้อนและพายุดีเปรสชัน จะเคลื่อนเข้าปกคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลางของประเทศไทยในวันที่ 29 กันยายน 2565 ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ภาคใต้ และอ่าวไทย จะมีกำลังแรงขึ้น

ส่งผลทำให้ในช่วงวันที่ 28 กันยายน – 1 ตุลาคม 2565 บริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลางรวมทั้งกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ภาคตะวันออก และภาคใต้ มีฝนตกหนักหลายพื้นที่และมีฝนตกหนักมากบางแห่งกับมีลมแรง ซึ่งอาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากได้ นั้น

ปัจจุบัน (27 ก.ย.65) อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลางทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำรวมกัน 55,078 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 72 ของความจุอ่างฯ ยังสามารถรับน้ำได้อีก 21,030 ล้าน ลบ.ม. เฉพาะ 4 เขื่อนหลักลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำรวมกัน 16,307 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 66 ของความจุอ่างฯ สามารถรับน้ำได้อีก 8,564 ล้าน ลบ.ม.

เพื่อเป็นการเตรียมรับมือสถานการณ์ฝน  จึงได้กำชับไปยังโครงการชลประทานในพื้นที่เสี่ยง ที่มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำอยู่ในเกณฑ์น้ำมาก ให้เฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง  บริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามเกณฑ์เก็บกักน้ำ  พร้อมพิจารณาปรับการระบายให้เหมาะสมสอดคล้องกับสถานการณ์  เพื่อพร้อมรองรับปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้น โดยคำนึงถึง ปริมาณ เวลา และสถานที่เป็นหลัก  รวมทั้งร่วมบูรณาการกับหน่วยงานระดับจังหวัดในการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนประชาชนให้รับรู้ทราบก่อนการระบายน้ำทุกครั้ง  เพื่อลดผลกระทบต่อพื้นที่ด้านท้ายอ่างเก็บน้ำ

ติดตั้งเครื่องจักรเครื่องมือ อาทิ เครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ เพิ่มเติมประจำจุดเสี่ยง เพื่อเสริมประสิทธิภาพการระบายน้ำให้ดียิ่งขึ้น  ที่สำคัญให้ปฏิบัติตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนที่กองอำนวยการน้ำแห่งชาติกำหนดอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันและบรรเทาปัญหาที่จะเกิดกับประชาชนให้ได้มากที่สุด