วันที่ 25 สิงหาคม 2565 ดร.วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการโครงการและการเงินกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (อกก.คง.) ครั้งที่ 6/2565 วันที่ ณ ห้องประชุมสุทธิพร จีระพันธุ ส.ป.ก. ถนนราชดำเนินนอก กรุงเทพฯ
ในการประชุม อกก.คง. ครั้งที่ 6/2565 มีวาระการประชุมที่สำคัญในการขอความเห็นชอบโครงการและใช้เงินกองทุนฯ
(1) เพื่อใช้จ่ายตามโครงการค่าใช้จ่ายในการบริหารกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 วงเงิน 55,000,000 บาท
(2) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการพัฒนาธุรกิจชุมชนในเขตปฏิรูปที่ดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวนเงิน 8,993,000 บาท
(3) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ในเขตปฏิรูปที่ดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวนเงิน 22,445,100 บาท
(4) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการส่งเสริมระบบวนเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวนเงิน 41,714,300 บาท
(5) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการยกระดับรายได้เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อลดความเหลื่อมล้ำ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวนเงิน 6,185,000 บาท
(6) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการจัดที่ดินชุมชนในเขตปฏิรูปที่ดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวนเงิน 32,903,300 บาท
(7) เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายตามโครงการตรวจสอบที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน ปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 จำนวนเงิน 40,611,300 บาท
นอกจากนั้นยังมีการขอความเห็นชอบร่างตัวชี้วัดการประเมินผลการดำเนินงานกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ประจำปีบัญชี 2566 เพื่อให้การดำเนินงานกองทุนการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมมีประสิทธิภาพและเป็นไปตามกรอบหลักเกณฑ์การประเมินผลการดำเนินงานทุนหมุนเวียน ประจำปีบัญชี 2566 พร้อมรับทราบผลการดำเนินงานของกองทุนฯ ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม 2565
ดร.วิณะโรจน์ เลขาธิการ ส.ป.ก. เผยว่า “ส.ป.ก. มีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะเห็นเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน มีที่ดินทำกิน สามารถต่อยอดและพัฒนาอาชีพของตนเอง เพื่อยกระดับรายได้ให้ครอบครัว มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ลดความเหลื่อมล้ำ และ ส.ป.ก. เห็นถึงความสำคัญในแต่ละโครงการฯ ที่จะก่อให้เกิดประโยชน์กับเกษตรกรโดยตรงในการส่งเสริมอาชีพ สร้างความเข้มแข็งแก่สถาบันเกษตรกรให้สามารถพึ่งพาตนเอง สามารถบริหารจัดการสินค้าและบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งส่งเสริมและพัฒนาสถาบันเกษตรกรให้สามารถขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชน ทั้งในมิติเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมได้อย่างสมดุลและเกิดความยั่งยืน เกิดประโยชน์สูงสุดแก่พี่น้องเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินทั่วประเทศ”