สภาฯผ่านกฎหมายป้องกันทำผิดซ้ำแล้ว! ผอ.กิจการยุติธรรม เผย รอกฎหมายประกาศในราชกิจจานุเบกษา มีผลบังคับใช้เมื่อพ้น 90 วัน เตรียม ทำกฎหมายลูก -สร้างความเข้าใจ ต่อไป
วันที่ 24 สิงหาคม 2565 พันตำรวจโท พงษ์ธร ธัญญสิริ ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กล่าวว่า สภาผู้แทนราษฏร ได้มีมติเห็นชอบการแก้ไขเพิ่มเติมร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง ของวุฒิสภา เรียบร้อยแล้ว ซึ่งขั้นตอนต่อไปทางรัฐสภา จะส่งร่างพระราชบัญญัติฯ ให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนการทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเพื่อพระมหากษัตริย์ทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษา ทั้งนี้ จะมีผลบังคับใช้เมื่อพ้นกำหนด 90 วัน นับจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา
“ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ มีทั้งหมด 43 มาตรา มีหลักการที่สําคัญ 3 ประการ ได้แก่
1.การสร้างความปลอดภัยให้สังคม และประชาชน
2. การแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําความผิด
3.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องคําสั่งตามกฎหมาย
โดยการผลักดันกฎหมายป้องกันการกระทําความผิดซ้ำ เพื่อช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ในการช่วยทําให้ผู้หญิงปลอดภัยจากบุคคลอันตราย ช่วยป้องกันเหตุอุกฉกรรจ์สะเทือนขวัญไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำอีก” พันตำรวจโท พงษ์ธร กล่าว
พันตำรวจโท พงษ์ธร กล่าวอีกว่า กฎหมายฉบับนี้ จะมีความสําคัญอย่างยิ่ง ต่อการพัฒนาระบบป้องกันอาชญากรรม ด้วยการแก้ไขฟื้นฟูและเฝ้าระวัง ซึ่งเป็นร่างกฎหมายฉบับแรก ที่รัฐบาลขับเคลื่อน เพื่อทําให้สังคม และประชาชนรู้สึกปลอดภัยจากบุคคลอันตรายมากยิ่งขึ้น รวมถึงเป็นการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ให้มีความทันสมัยตามหลักสากล ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวนี้ ได้กําหนดให้มีมาตรการพิเศษทางกฎหมายและทางปฏิบัติ เพื่อใช้บังคับกับผู้กระทําความผิด 3 กลุ่ม ได้แก่
1.คดีเพศ
2.คดีชีวิตและร่างกาย
3. คดีเรียกค่าไถ่
โดยมุ่งเน้นการใช้มาตรการที่เหมาะสมกับการแก้ไขฟื้นฟูและรักษาผู้กระทําความผิด มากกว่าการลงโทษ
พันตำรวจโท พงษ์ธร กล่าวต่อว่า ส่วนการใช้มาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําความผิดและมาตรการทางการแพทย์ จะต้องดำเนินการตามขั้นตอน อีกทั้งต้องได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์อย่างน้อย 2 คน และต้องได้รับการยินยอมรับการรักษาฟื้นฟูจากผู้ต้องขังด้วยตามหลักสิทธิมนุษยชน โดยการรักษาจะมีด้วยกันหลายวิธี ทั้งใช้ยาและไม่ใช้ยา เช่น การใช้ยาโดยการฉีดและการกิน การบําบัดด้วยจิต การทําหัตถการต่าง ๆ เป็นต้น จึงไม่ได้มีแค่การ“ฉีดฝ่อ”เท่านั้น ซึ่งจะรักษาด้วยวิธีการใดนั้น ทางแพทย์จะเป็นผู้ประเมินอาการ วินิจฉัย และลงความเห็นทุกครั้ง
ผู้อำนวยการสำนักงานกิจการยุติธรรม กล่าวอีกว่า เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายมีประสิทธิภาพและสามารถป้องกันไม่ให้มีการทําความผิดซ้ำอีก ทางกระทรวงยุติธรรม จะมีการเตรียมความพร้อมรองรับ อาทิ การจัดทำกฎหมายลูก การเตรียมสถานที่ บุคลากร เครื่องมือ การสร้างความรู้ความเข้าใจให้ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดําเนินการด้วยความระมัดระวัง ใช้กฎหมายเท่าที่จําเป็น รัดกุม และเป็นธรรม รวมถึงแนวปฏิบัติต่างๆ ซึ่งสำนักงานกิจการยุติธรรม จะได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ต่อไป