ในวันพฤหัสบดีที่ 4 สิงหาคม 2565 เวลา 11.30 น. ณ บริเวณด้านหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข (ศูนย์บริการร่วมกระทรวงยุติธรรม) ชั้น 1 อาคารกระทรวงยุติธรรม ว่าที่ร้อยตรีธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รับเรื่องจาก นางจันทร์ ตรงไธสง พร้อมชาวบ้านบ้านโนนสว่าง ตำบลช้างเผือก อ.สุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 10 คน เพื่อขอความเป็นธรรมกับกระทรวงยุติธรรมให้เข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีข้อพิพาทที่ดิน ในอำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด
สืบเนื่องจากการที่ชาวบ้านได้ครอบครองทำกินในที่ดินว่างเปล่า ตามโครงการของผู้ว่าราชการจังหวัดในปี พ.ศ.2529 โดยให้ผู้ใหญ่บ้านดำเนินการพาชาวบ้านแผ้วถางที่ว่างเปล่าใกล้กับหมู่บ้าน แล้วแบ่งเป็นแปลงให้ชาวบ้านทุกครัวเรือนจำนวน 50 ครัวเรือน ได้ทำกินเรื่อยมา จนกระทั่งในปี 2554 นางพวง โทขันธ์ ได้นำเอกสารตามแบบแจ้งการครอบครอง ส.ค.1 เลขที่ 170 ตำบลเปลือย อ.สุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด นำมาฟ้องขับไล่ชาวบ้านที่ทำกินในที่ดินแปลงดังกล่าวนี้
โดยอ้างว่าชาวบ้านบุกรุกที่ดินตาม ส.ค.1 ซึ่งเป็นของบิดานางพวง คดีขึ้นสู่ศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ชาวบ้านสู้คดี ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ให้ชาวบ้านออกไปจากที่พิพาท เนื่องจากที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 170 กับที่พิพาทเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ชาวบ้านอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ชาวบ้านชนะคดี นางพวงโจทก์จึงยื่นฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาว่าอุทธรณ์ของจำเลยไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท ให้ถือตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นที่สุด ชาวบ้านยื่นขอเพิกถอนการบังคับคดีและชาวบ้านบางส่วนยื่นร้องในชั้นบังคับคดี แต่ปรากฏว่า ศาลในชั้นบังคับให้ถือตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จนเมื่อเดือนพฤษภาคม 2564 นางพวงโจทก์ได้ดำเนินการขอออกหมายจับชาวบ้านทั้งหมดที่ทำกินอยู่ในที่ดินแปลงนี้ ชาวบ้านขอเพิกถอนหมายจับ และยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลมีคำสั่งตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ชาวบ้านยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าว ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยกอุทธรณ์ชาวบ้าน เนื่องจากทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์ไม่เกิน 50,000 บาท
ทั้งนี้ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีนี้ ที่ว่างเปล่าที่ชาวบ้านครอบครองทำกินตามโครงการของผู้ว่าราชการจังหวัดในขณะนั้น เป็นที่ดินว่างเปล่าของรัฐ จำนวน 12 ไร่ มิได้มีเอกสารสิทธิเกี่ยวกับที่ดินใดๆทั้งสิ้น ที่ดินที่ชาวบ้านครอบครองมีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า แต่ที่ดินของโจทก์มีลักษณะเป็นสามเหลี่ยม ซึ่งแตกต่างกันอย่างชัดเจน ชาวบ้านได้ครอบครองทำกินและพัฒนาที่ดินเรื่อยมาเป็นระยะเวลากว่า 25 ปี นางพวงจึงนำ ส.ค.1 มาฟ้องขับไล่ชาวบ้าน
ซึ่งความจริงแล้วที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 170 ได้ถูกออกเป็นโฉนดที่ดินไปแล้ว โดยมีนายแดง มืดทัพไทย ซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นญาติกับนางพวงได้นำไปขอออกโฉนดที่ดินเรียบร้อยก่อนฟ้องคดีแล้ว และ ส.ค.1 ฉบับนี้ได้ถูกยกเลิกเพื่อป้องกันเอกสารซ้ำซ้อนโดยสำนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ด สาขาสุวรรณภูมิไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดนางพวง จึงสามารถนำ ส.ค.1 ฉบับนี้มาฟ้องคดีได้ อีกทั้ง ส.ค.1 ฉบับนี้เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ได้สูญหายไปจากสารบบจัดเก็บเอกสารของสำนักงานที่ดินอำเภอสุวรรณภูมิ
อีกทั้งทนายความของชาวบ้านในศาลชั้นต้นได้บกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรง ด้วยคดีนี้เป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับที่ดิน แต่ทนายความไม่นำเจ้าพนักงานที่ดินเข้าสืบถึงตำแหน่งของที่ดินพิพาทกับตำแหน่งที่ดินของชาวบ้าน จนเป็นเหตุให้ชาวบ้านแพ้คดี ซึ่งคำพิพากษาก็ผูกพันคู่ความไปแล้ว โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานที่ดินมารังวัดเพื่อขอออกโฉนดที่ดิน แต่เมื่อทำการรังวัดแล้วเจ้าพนักงานที่ดินได้พบว่า ที่ที่โจทก์นำชี้ตามที่พิพาทกับ ส.ค.1 ไม่ใช่ตำแหน่งเดียวกัน จึงไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ได้ โจทก์ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่ออกโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ แต่สุดท้ายสำนักงานที่ดินจังหวัดร้อยเอ็ดก็ยังยืนยันคำสั่งเดิม ทำให้โจทก์ไม่สามารถดำเนินการบังคับคดีได้อย่างแน่แท้ ได้แต่คำพิพากษาเท่านั้น แต่โจทก์ก็ยังทำการบังคับคดี โดยไปขอออกหมายจับชาวบ้านในชั้นบังคับคดีต่อศาลจังหวัดร้อยเอ็ด ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน ต้องยื่นเพิกถอนหมายจับและขอประกันตัว
และขณะนี้ชาวบ้านมีความวิตกกังวลเป็นอย่างมาก เกรงจะไม่มีที่อยู่และที่ทำกิน เพราะโจทก์อ้างว่าโจทก์ชนะคดี และคดีถึงที่สุดชาวบ้านต้องออกไปจากที่พิพาท โดยจะนำรถแบคโฮเข้าปรับหน้าดิน นำรถไถมาโค่นไถต้นไม้ พืชผัก สิ่งปลูกสร้างที่ชาวบ้านได้ปลูกสร้างไว้ หากโจทก์เข้ามาดำเนินการดังกล่าว จะทำให้ชาวบ้านเดือดร้อน จึงมายื่นขอความเป็นธรรมกับกระทรวงยุติธรรมให้เข้ามาช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากกรณีนี้โดยตรวจสอบข้อเท็จจริง ชี้แจงทำความเข้าใจกับโจทก์ ว่าชาวบ้านมิได้ครอบครองที่ดินตาม ส.ค.1 เลขที่ 170 ของโจทก์และชาวบ้านจะไม่ยอมออกจากที่ดินแปลงนี้ และห้ามมิให้โจทก์บุกรุกเข้ามาในที่ดินแปลงนี้ ชาวบ้านจะทำกินต่อไป รวมถึงใช้ดุลพินิจอื่นเพื่อแก้ไขปัญหานี้ให้แก่ชาวบ้าน
เลขานุการ รมว.ยุติธรรม กล่าวว่า กรณีดังกล่าวกระทรวงยุติธรรมจะมอบหมายให้กรมบังคับคดี และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมทั้งประสานกับกรมที่ดิน เพื่อตรวจสอบสิทธิการครอบครองที่ดินของชาวบ้านต่อไป