ตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงคมนาคม โดยนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และดร.อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้สั่งการให้กรมเจ้าท่า เดินหน้าเพื่อศึกษาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามัน ให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวและการขนส่งทางทะเล (Maritime Hub) และพัฒนาท่าเรือ Marina ชุมชน จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน ครบ 6 จังหวัด ตั้งเป้าศึกษารายละเอียด 2 ปี ก่อนดึงเอกชนลงทุน ภาครัฐอำนวยความสะดวก เปิดกฎหมายเอื้อต่อการลงทุน มั่นใจสร้างรายได้ เม็ดเงินท่องเที่ยวสะพัดในพื้นที่
นายสมพงษ์ จิรศิริเลิศ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ด้านปฏิบัติการ เปิดเผยว่า กรมเจ้าท่า มีแผนพัฒนาท่าเรือชายฝั่งทะเลอันดามันและอ่าวไทย เพื่อสนับสนุนการเดินทางและการท่องเที่ยว โดยในส่วนชายฝั่งทะเลอันดามัน กรมเจ้าท่า จะเริ่มการศึกษาพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคใต้ฝั่งอันดามันให้เป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวและการขนส่งทางทะเล (Maritime Hub) และผุดโครงการท่าเรือมารีน่าชุมชน 1 จังหวัด 1 ท่า หรือทั้งหมด 6 ท่า ใน 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน คือ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล โดยจะทำการศึกษาระหว่างปี 2566 ถึง 2567 ก่อนเริ่มดำเนินการในพื้นที่โดยรูปแบบการลงทุนในอนาคตนั้น เชื่อว่าเมื่อภาครัฐมีการชี้จุดพื้นที่เป้าหมายชัดเจน มีการอำนวยความสะดวกในแง่ของข้อกฎหมายที่เอื้อต่อการลงทุน เอกชนที่มีศักยภาพ หรือแม้แต่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่มีความพร้อมก็สามารถเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ โดยลักษณะของท่าเรือจะเป็นเรือสำราญขนาดเล็ก รองรับเรือขนาดตั้งแต่ 30 – 40 ลำ หรือสูงสุดไม่เกิน 100 ลำ ส่วนจำนวนเม็ดเงินการลงทุนนั้น จะขึ้นอยู่กับแต่ละพื้นที่ที่มีการกำหนดเป็นพื้นที่เป้าหมายจะมีเนื้อที่เท่าใด และแบบการก่อสร้างมารีน่าในของแต่ละจังหวัดที่จะถูกออกแบบขึ้น จะมีขนาดใหญ่มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเมื่อได้มีการกำหนดพื้นที่และมีการออกแบบท่าเรือมารีน่าแล้ว ก็จะมีการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ตามที่มีการออกแบบขึ้นต่อไป
“มั่นใจว่าการพัฒนามารีน่าชุมชนนี้ เมื่อแล้วเสร็จจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยว เข้ามาสู่พื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวที่นำเรือสำราญขนาดเล็ก หรือเรือใบมาจอด แน่นอนก็จะนำมาซึ่งเม็ดเงินรายได้จากการท่องเที่ยวที่หมุนเวียนสะพัด ในแต่ละชุมชนมากขึ้น” นายสมพงษ์ฯ กล่าว
ทั้งนี้ ที่ผ่านมากรมเจ้าท่ามีแผนพัฒนาท่าเรือชายฝั่งอันดามันระหว่างปี พ.ศ.2561-2567 จำนวน 13 ท่า โดยได้ดำเนินการแล้วเสร็จ จำนวน 6 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือปากเมง จังหวัดตรัง (ท่องเที่ยวหมู่เกาะทะเลตรัง ถ้ำมรกต เกาะมุก เกาะกระดาน) ท่าเรือสุระกุล จังหวัดพังงา (ท่องเที่ยวอ่าวพังงา เกาะปันหยี เขาพิงกัน เกาะเจมส์บอนด์ (เขาตะปู)) ท่าเรือเกาะลันตาใหญ่ และท่าเรือศาลาด่านตั้งอยู่ที่เกาะลันตาน้อย (ท่องเที่ยวดำน้ำ และเชื่อมโยงไปยังเกาะพีพี เกาะรอก หาดปากเมง) ท่าเรือสวนสาธารณะธารา ท่าเรือท่าเล จังหวัดกระบี่ (สนับสนุนการเดินทางข้ามฟากระหว่างเทศบาลเมืองกระบี่ที่ท่าเรือสวนสาธารณะธาราไปยังท่าเรือท่าเล ตั้งอยู่บนเกาะกลาง ตำบลคลองประสงค์ ที่มีชุมชนอาศัยอยู่ และเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและวิถีเกษตร) ท่าเรืออยู่ระหว่างดำเนินการจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2565 จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือปากคลองจิหลาด จังหวัดกระบี่ เป็นท่าเรือต้นทาง – ปลายทางไปยังเกาะพีพี ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ส่วนแผนพัฒา พ.ศ.2567-2569 จำนวน 6 แห่ง โดยมีท่าเรือ 4 แห่งอยู่ในเส้นทางเดินเรือขนส่งผู้โดยสารและรถยนต์ เชื่อมโยงจากจังหวัดกระบี่ – พังงา – ภูเก็ต ร่นระยะเวลาเดินทางจากจังหวัดกระบี่ไปจังหวัดภูเก็ตลง 1.5 ชั่วโมง เมื่อเทียบกับทางบก ได้แก่ ต้นทางที่ท่าเรือเฟอร์รี่ท่าเลน จังหวัดกระบี่ ปลายทางที่ท่าเรือเฟอร์รี่อ่าวปอ จังหวัดภูเก็ต และท่าเรือที่อยู่ในเส้นทาง ได้แก่ ท่าเรือมาเนาะห์ และท่าเรือช่องหลาด จังหวัดพังงา และมีแผนพัฒนาท่าเรืออีก 2 แห่ง ในจังหวัดกระบี่ ได้แก่ ท่าเรืออ่าวน้ำเมา และท่าเรือเกาะพีพี
ส่วนชายฝั่งทะเลอ่าวไทย กรมเจ้าท่า มีแผนพัฒนาท่าเรือชายฝั่งอ่าวไทยระหว่างปี พ.ศ.2563 – 2567 จำนวน 3 ท่า คือ อยู่ระหว่างดำเนินการจะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2565 จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือปะทิว จังหวัดชุมพร (ท่องเที่ยวดำน้ำดูฉลามวาฬ ที่เกาะร้านเป็ด เกาะร้านไก่) ท่าเรือใหม่ที่จะแล้วเสร็จภายในปี พ.ศ.2566 จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ท่าเรืออ่าวมะขามป้อม จังหวัดระยอง (ท่องเที่ยวเกาะมันนอก มันกลาง มันใน และเชื่อมโยงไปยังเกาะเสม็ด อันมีชื่อเสียงได้)รวมทั้งมีแผนพัฒนา พ.ศ. 2566 – 2568 จำนวน 1 แห่ง ได้แก่ ท่าเรือเกาะกูดซีฟร้อนท์ จังหวัดตราด สนับสนุนการเดินทางและการท่องเที่ยวเชื่อมจากท่าเรือแหลมศอก ไปยังเกาะกูด