พช.ศรีสะเกษ ผนึกกำลังทีมภาคีเครือข่ายการพัฒนาจังหวัด จัดนิทรรศการโชว์การพัฒนาผ้าทออัตลักษณ์จังหวัดศรีสะเกษ ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยี ผ่านแพลตฟอร์ม Click ชุมชน

พช.ศรีสะเกษ ผนึกกำลังทีมภาคีเครือข่ายการพัฒนาจังหวัด จัดนิทรรศการโชว์การพัฒนาผ้าทออัตลักษณ์จังหวัดศรีสะเกษ ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยี ผ่านแพลตฟอร์ม Click ชุมชน ต่อคณะผู้ตรวจประเมินรางวัลเลิศรัฐ คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ PMQA 4.0 ประจำปี พ.ศ. 2565

วันที่ 18 กรกฎาคม 2565 เวลา 08.30-16.00 น. ณ ณ ห้องประชุมวิเศษสิงหนาท อาคารเฉลิมพระเกียรติในโอกาสฉลองพระชนมายุ 5 รอบ 2 เมษายน 2558 ศูนย์ศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วยรองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นำทีมภาคีเครือข่ายการพัฒนาจังหวัด หรือ “ทีมจังหวัดศรีสะเกษ” นำเสนอผลงาน เพื่อเข้ารับรางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ประจำปี พ.ศ. 2565 PMQA 4.0 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ Zoom Cloud Meetings

เพื่อนำเสนอผลงานเข้ารับรางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ ประจำปี พ.ศ. 2564 จำนวน 2 ผลงาน ช่วงเช้า เป็นการนำเสนอผลการดำเนินงานสาขาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ PMQA รายหมวด หมวด 1 การนำองค์การและความรับผิดชอบต่อสังคม และช่วงบ่ายเป็นการนำเสนอผลงาน PMQA 4.0 โดยมีภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสัมคม และสถาบันการศึกษา ร่วมนำเสนอผลงานในครั้งนี้ ประกอบด้วย

ภาครัฐ ได้แก่ รองผู้ว่าราชการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ

ภาคเอกชน ได้แก่ ประธานหอการค้าจังหวัดศรีสะเกษ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดศรีสะเกษ นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดศรีสะเกษ

ภาคประชาสังคม ได้แก่ ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัด/ผู้แทนคณะกรรมการธรรมภิบาลจังหวัด ผู้แทนคณะกรรมการจริยธรรมจังหวัดผู้แทนภาคประชาสังคมในคณะกรรมการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ ผู้ทรงคุณวุฒิในคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำ ผู้แทนเกษตรกร สถาบันการศึกษา ได้แก่ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏศรีสะเกษ และผู้อำนวยการโรงเรียนอีก 4 แห่ง

นายวัฒนา พุฒิชาติ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ ได้นำเรียนต่อคณะผู้ตรวจประเมินรางวัลเลิศรัฐ ว่า จังหวัดศรีสะเกษ มีความหลากหลายทางธรรมชาติและศักยภาพของจังหวัดศรีสะเกษ ดังนี้

ด้านการเกษตร เป็นแหล่งผลิตข้าวหอมมะลิที่สำคัญของประเทศมีพื้นที่การเกษตรทั้งหมด 4.2 ล้านไร่ มีผลผลิตทางเกษตรที่มีคุณภาพ เช่น ข้าวหอมมะลิ หอมแดง กระเทียม ทุเรียน ซึ่งสามารถพัฒนาต่อยอดเพื่อเป็นมหานครอินทรีย์ได้ในอนาคต

ด้านการท่องเที่ยว มีแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติและแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และประเพณีที่หลากหลายแต่ละปีสามารถสร้างมูลค่ารายได้กว่า 2,000 ล้านบาท

ด้านค้าชายแดน มีด่านชายแดนถาวรช่องสะงำ เป็นประตูการค้าชายแดนที่สำคัญของจังหวัดสามารถเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของจังหวัดอารยธรรมขอมโบราณนครวัด นครธม ด้วยระยะทางเพียง 135 กิโลเมตร

จากศักยภาพดังกล่าว จึงได้กำหนดวิสัยทัศน์ “ดินแดนเกษตรปลอดภัย การค้าและการท่องเที่ยวครบวงจร”

โดยมีประเด็นการพัฒนา 5 ประเด็น ดังนี้

1. ยกระดับการผลิตสินค้าเกษตรสู่มาตรฐานอย่างครบวงจร

2. ส่งเสริมขีดความสามารถด้านการท่องเที่ยวและกีฬาสู่ความเป็นเลิศ

3. พัฒนาเมืองน่าอยู่สู่คุณภาพชีวิตประชาชนในทุกมิติ

4. การอนุรักษ์ฟื้นฟูและพัฒนาจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน

5. การเสริมสร้างความมั่นคงและการค้าชายแดนเชื่อมโยงอาเซียน

นอกจากนี้ ได้ใช้กลไกการบริหารจัดการแบบประชารัฐที่มีทุกภาคีเครือข่าย ทั้งภายในและภายนอกจังหวัดเข้ามามีส่วนในการ “ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมแก้ไข ร่วมติดตาม” โดยยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนจังหวัดจึงได้ประกาศเป็นวาระ “1+ 10 วาระ การขับเคลื่อนจังหวัดสะเกษ บนเส้นทางการพัฒนาที่ยั่งยืน” มีหนึ่งภารกิจที่สำคัญอย่างยิ่งที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมดำเนินการ คือ “การปกป้องเชิดชูสถาบัน” สำหรับ 10 วาระจังหวัด ส่วนหนึ่งเป็นการต่อยอดการพัฒนาเพื่อเพิ่มศักยภาพให้กับเศรษฐกิจฐานราก ดังคำว่า “อะไร อะไร ก็ดี ที่ศรีสะเกษ” ผ่านวาระด้านเศรษฐกิจ

โดยการนำเสนอผลงาน ช่วงเช้า เป็นการนำเสนอผลการดำเนินงานสาขาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ PMQA รายหมวด หมวด 1 การนำองค์การและความรับผิดชอบต่อสังคม ด้วยวีดิทัศน์ และการถ่ายทอดสดการเยี่ยมชมนิทรรศการ จำนวน 4 ซุ้ม

1) ซุ้มเกษตรบูรณาการ/ทุเรียน

2) ซุ้มคนศรีสะเกษสุขภาพดี

3) ซุ้มการพัฒนาผ้าทออัตลักษณ์จังหวัดศรีสะเกษ ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยี

4) ซุ้ม หอมแดง กาแฟโรบัสต้า

ทั้งนี้ ภายใต้การอำนวยการของนางสาวชนมณัฐ รอดบุญธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ มอบหมายให้ นางสาววริศรา โสภาค พัฒนาการจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วย นางสาวจรุวรรณ คล่องตา ผู้อำนวยการกลุ่มงานยุทธศาสตร์การพัฒนาชุมชน น.ส.ธนพร ขจิตเวทย์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานสารสนเทศการพัฒนาชุมชน และนักวิชาการพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมด้วยเครือข่ายกลุ่ม OTOP นายวิวัฒน์ พร้อมพูน ผู้แทน สวทช. และ ผู้ประสานงานในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ ร่วมนำเสนอผลงานต่อคณะผู้ตรวจประเมินรางวัลฯ ในส่วนของการขับเคลื่อนวาระจังหวัดศรีสะเกษ การพัฒนาผ้าทออัตลักษณ์จังหวัดศรีสะเกษ ด้วยนวัตกรรม และเทคโนโลยี

นางสาววริศรา โสภาค พัฒนาการจังหวัดศรีสะเกษ ได้นำเรียนต่อคณะกรรมการฯ ว่า ในปี ๒๕๖๕ จังหวัดศรีสะเกษได้ขับเคลื่อนวาระจังหวัดฯ ประเด็นวาระผ้าทอมือ “ธานีผ้าศรี…แส่ว” โดยมุ่งเน้นการพัฒนา ๓ ด้านคือ ด้านศักยภาพของผู้ประกอบการ OTOP / คุณภาพของผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมช่องทางการตลาดกระตุ้นเศรษฐกิจฐานราก เพื่อให้เกิดรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยผ่านกระบวนการการพัฒนา การย้อม ทอ และแส่วเดิมจังหวัดศรีสะเกษมีผ้าที่เป็นอัตลักษณ์ดั้งเดิมคือ ผ้าย้อมมะเกลือ ซึ่งให้สีดำขลับ มีข้อกำจัดคือใส่ไปงานต่างๆ ได้ไม่หลากหลาย

จึงมีการพัฒนาเป็น “ผ้าทอเบญจศรี” ที่นำวัสดุที่เป็นอัตลักษณ์ของจังหวัดศรีสะเกษมาเป็นวัสดุในการย้อมสีธรรมชาติ ได้แก่ ศรีกุลา ย้อมจากดินทุ่งกุลาร้องไห้ แหล่งปลูกข้าวหอมมะลิที่มีชื่อเสียง เมื่อนำมาย้อมจะให้เฉดสีเทาที่สวยและทันสมัยและเชื่อว่าผู้ที่สวมใส่จะมีความอุดมสมบูรณ์ พูลสุข /ศรีลำดวน ย้อมจากเปลือกและใบของ ต้นลำดวน ซึ่งเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อนำมาย้อมจะให้สีเหลืองนวล ผู้ที่สวมใส่จะให้ความรู้สึกที่มีเสน่ห์ชวน หลงไหล /ศรีมะดัน ย้อมจากเปลือกไม้มะดัน

ซึ่งนอกจากไก่ย่างไม้มะดันจะเป็นอาหารขึ้นชื่อของจังหวัดศรีสะเกษแล้วเมื่อนำมาย้อมผ้าจะให้สีน้ำตาลเปลือกไม้ผู้ที่สวมใส่เชื่อกันว่าจะช่วงส่งเสริมหนุนนำให้ชีวิตการงานราบรื่น /ศรีลาวา ย้อมจากดินภูเขาไฟที่ใช้ปลูกกทุเรียนรสเลิศของจังหวัดศรีสะเกษ เมื่อนำมาย้อมแล้วจะให้สีส้มอมแดง ผู้ที่สวมใส่จะให้ความรู้สึกร้อนแรงเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความสุข โดยนำคำว่า “ศรี” คือชื่อจังหวัดศรีสะเกษ ใช้นำหน้าผ้าแต่ละชนิด และพัฒนาเป็นแบรนด์ “ผ้าทอแบรนด์เบญจศรี” และพัฒนาเพิ่มมูลค่า โดยการ “แส่ว” เพิ่มลวดลายสร้างความโดดเด่น ให้ผ้าทอมือศรีสะเกษ สามารถสร้างอาชีพและรายได้ให้กับช่างแส่วผ้า ปัจจุบันจังหวัดศรีสะเกษมีช่างแส่วผ้า จำนวนมากกว่า 200 คน

ซึ่งมีการพัฒนาศักยภาพช่างแส่วในการแส่วลายประยุกต์ตอบโจทย์ให้กับผู้บริโภคมากขึ้นและอบรมอาชีพการแส่วผ้าให้กับผู้ต้องขังหญิง จำนวน 60 คน เพื่อเป็นโอกาสและทางเลือกในการหารายได้เลี้ยงชีพได้อย่างยั่งยืน อีกทั้งการแปรรูปผ้าเบญจศรีให้เป็นผลิตภัณฑ์เครื่องแต่งกายและของตกแต่งตั้งแต่หัวจรดเท้า อาทิ หมวก ตุ้มหู กระเป๋า รองเท้า เพิ่มความหลากหลาย ขยายฐานลูกค้าและมีตัวเลือกที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับผู้บริโภค ทุกเพศและทุกวัย

โดยจังหวัดศรีสะเกษได้บูรณาการงบประมาณและองค์ความรู้ร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาผ้าทอมือศรีสะเกษ ให้สามารถแข่งขันได้ในตลาดสากล โดยได้รับการสนับสนุนงบประมาณทั้งในส่วนงบยุทธศาสตร์ของแต่ละหน่วยงาน/งบจังหวัด/งบกลุ่มจังหวัด รวมทั้งงบกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ในการขับเคลื่อนพัฒนาการย้อม ทอ แส่ว ในภาพรวมของจังหวัดฯมีจำนวนมากกว่า 10,073,482 บาท มีผู้ประกอบการ OTOP / กลุ่มทอผ้า ได้รับผลประโยชน์ มากถึง 2,171 คน แต่ด้วยในช่วงแรกที่มีการพัฒนาผ้าทอเบญจศรีได้ประสบปัญหา สีตก ย้อมสีไม่ติดและสีไม่สม่ำเสมอ จังหวัดศรีสะเกษจึงได้บูรณาการความร่วมมือจากหน่วยงานภาคีเครือข่าย ในการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพ คุณภาพ ของผ้าทอเบญจศรี

อาทิ การพัฒนาสีผงย้อมผ้าเบญจศรี ที่จะให้สีที่คงทน สม่ำเสมอ มีเฉดสีที่เป็นมาตรฐานบันทึกเป็นองค์ความรู้ให้กับกลุ่มทอผ้าของจังหวัดศรีสะเกษสามารถนำไปใช้ให้เกิดเป็นมาตรฐานเดียวกันได้ การนำเปลือกใยจากวัสดุธรรมชาติมาเป็นส่วนประกอบในการทอผ้า เพื่อลดต้นทุนการผลิตและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การเพิ่มมูลค่าด้วยการนำเทคโนโลยีพัฒนาเป็นผ้าที่ป้องกัน รังสี UVA UVB ได้ 100% และการพัฒนาเรื่องนาโนเทคโนโลยีและการเติมกลิ่นดอกลำดวนดอกไม้ประจำจังหวัดศรีสะเกษ เพิ่มมูลค่าให้กับผ้าทอมือศรีสะเกษรวมถึงการนำ ENZ ease มาพัฒนาในกำจัดแป้งและสิ่งสกปรกบนผ้าฝ้ายในขั้นตอนเดียวก่อนเข้าสู่กระบวนการย้อมเพื่อเตรียมเส้นใยแบบประหยัดเวลาและรักษาสิ่งแวดล้อม และการส่งเสริมช่องทางการตลาด

มีการพัฒนาช่องทางการจำหน่ายสินค้าทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ ตามสโลแกน “หน้าร้านเรามีขาย ออนไลน์เรามีส่ง”ประชาสัมพันธ์ผ้าทอมือศรีสะเกษ แบบ Soft Power สร้างวัฒนธรรมด้วยการสวมใส่ผ้าไทยเข้าร่วมประชุม/อบรม/ ทำกิจกรรมต่างๆ สร้างค่านิยมอนุรักษ์ภูมิปัญญา ผ่าน Brand ambassador นำโดยท่านผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ หัวหน้าส่วนราชการ รวมถึงกลุ่มเยาวชนคนรุ่นใหม่ นำเสนอผ้าทอมือศรีสะเกษ หรือผ้าทอแบรนด์เบญจศรี ให้เป็นที่รู้จักเป็นวงกว้างมากยิ่งขึ้น

ส่งผลให้มียอดจำหน่ายสินค้า OTOP ประเภทผ้าและเครื่องแต่งกายที่สูงขึ้น ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID ๑๙) ซึ่งหากได้เทียบสถิติยอดจำหน่ายจากปี พ.ศ. 2562 ถึง พ.ศ.2564 มีรายได้เพิ่มสูงขึ้น ร้อยละ 44 และในปี 2565 มียอดจำหน่าย ณ วันที่ 12 กรกฎาคม อยู่ที่ 946,515,221 บาท ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะมียอดจำหน่าย ไม่ต่ำกว่า 1,200 ล้านบาท / และมีกลุ่มทอผ้าที่ลงทะเบียน OTOP เพิ่มมากขึ้นจากปี 2564 จำนวน 328 กลุ่ม และในปัจจุบันเพิ่มเป็น 637 กลุ่ม / รวมทั้งได้รับรางวัล ผ้าลายพระราชทาน “ผ้าลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ระดับประเทศจำนวน 333 รางวัล

นอกจากนี้ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดศรีสะเกษ ได้นำเสนอการบูรณาการร่วมกับ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการนำเสนอความร่วมมือในการพัฒนา “นวัตกรรมการเติมกลิ่นดอกลำดวนและ เอนไซน์อัจฉริยะ” โดย นายวิวัฒน์ พร้อมพูน ผู้แทน สวทช. และ ผู้ประสานงานในพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ โดยกำหนดโจทย์มุ่งเป้าและวางแผนพัฒนา เพิ่มมูลค่าผ้า อัตลักษณ์จังหวัดศรีสะเกษ โดย สวทช. ได้มีการนำองค์ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เข้ามาช่วยยกระดับผ้าทอมือของจังหวัดศรีสะเกษ เริ่มที่

๑. เทคโนโลยีและนวัตกรรมเอนไซม์ “ENZease” ที่ช่วยทำความสะอาดเส้นใย เพิ่มประสิทธิภาพในการติดสีธรรมชาติ ลดระยะเวลาในการผลิตและลดต้นทุนในการฟอกย้อม รวมทั้งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ประสิทธิภาพของเส้นใยมีความพร้อมสำหรับการย้อมสีได้ดียิ่งขึ้นตั้งแต่การย้อมครั้งแรก โดยได้ดำเนินงานร่วมกับ กลุ่มเสื้อเย็บมือผ้าไหมลายลูกแก้ว ย้อมมะเกลืออบสมุนไพรบ้านเมืองหลวง อำเภอห้วยทับทัน จังหวัดศรีสะเกษ

ต่อจากนั้นได้นำเทคโนโลยีสิ่งทอนาโน ด้วยการเพิ่มนวัตกรรม นุ่มลื่น และ กลิ่นหอม “ดอกลำดวน” มาพัฒนาและเพิ่มมูลค่าให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ OTOP ผ้าทอเบญจศรี ยกระดับผ้าอัตลักษณ์ โดยดำเนินงานร่วมกับ กลุ่มสตรีทอผ้าไหมบ้านหัวช้าง อำเภออุทุมพรพิสัย

ทั้งนี้ สวทช. มีแผนงานการขยายผล “การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม” สำหรับเยาวชนคนรุ่นใหม่ ในการสืบทอดภูมิปัญญา เชื่อมโยงคนรุ่นเก่า สู่การสร้างความเข้มแข็งโดยจะมีแผนงานความร่วมมืออย่างต่อเนื่อง กับ หน่วยงานและสถาบันการศึกษาในจังหวัดศรีสะเกษ ด้วยความตั้งใจที่จะใช้นวัตกรรมและองค์ความรู้มาถ่ายทอดไปสู่กลุ่มทอผ้า ให้ปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์โลกในปัจจุบัน เป็น Smart OTOP และมีเป้าหมายเดียวกันคือการสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับพี่น้องประชาชน

พัฒนาชุมชนศรีสะเกษ : นครแห่งความสุข