วันอังคารที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๕ เวลา ๑๔.๓๐ น. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) ประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (คคบ.) ครั้งที่ ๖/๒๕๖๕ โดยเป็นการประชุมผ่านระบบออนไลน์

จากการประชุม ได้มีมติให้ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จำนวน ๕ เรื่อง (ประเภทซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ห้องชุดคอนโดมิเนียมและซื้อขายบ้าน) ธุรกิจด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน ๑๐ เรื่อง (ซื้อบัตรกำนัล (voucher) จองรถวันคอยน์ จองรถยนต์ใช้แล้ว ใช้บริการซักอบรีด รับเหมา ถมดิน จัดหาพนักงานมาดูแล ซื้อตั๋วโดยสารเครื่องบิน) รายละเอียด ดังนี้
ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จำนวน ๕ เรื่อง
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับบริษัทแห่งหนึ่งหลังรับโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ ๑ ปี ผู้บริโภคพบว่าผนังตัวบ้านทั้งภายในและภายนอกเกิดรอยแตกร้าว เมื่อฝนตกน้ำจึงไหลเข้ามาภายในตัวบ้านทำให้วอลเปเปอร์และเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้านเกิดความชื้น มีเชื้อราขึ้น ได้รับความเสียหาย จึงแจ้งให้บริษัทฯ เข้าซ่อมแซม แต่หลังจากซ่อมแซมพบรอยแตกร้าวมากขึ้น จึงแจ้งบริษัทฯอีกครั้งแต่ถูกปฏิเสธ โดยอ้างว่ารอยแตกร้าวดังกล่าวเกิดจากอุณหภูมิและการใช้งานไม่เกี่ยวกับโครงสร้างแต่อย่างใด
ผู้บริโภคจึงได้ว่าจ้างบริษัทแห่งหนึ่งเข้าตรวจสอบและพบว่า สาเหตุที่ผนังแตกร้าวเกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้ใส่คานเอ็นที่ผนังหรือใส่น้อยเกินกว่ามาตรฐานวิศวกรรมสถาน ซึ่งรวมถึงคานเอ็นหรือเสาเอ็นรอบกรอบประตูหรือหน้าต่าง กล่องเสาหรือช่องชาร์ปของอาคาร หรือเกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน
ผู้แทนสำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร ได้ให้ความเห็นว่า ตามหลักวิชาการต้องมีเสาเอ็นอยู่ที่ผนังเหนือประตู ขอบหน้าต่าง เป็นมาตรฐานโดยทั่วไปที่วิศวกรรมสถานกำหนด หรือมาตรฐานการก่อสร้างโดยทั่วไปต้องทำ เมื่อบริษัทฯ ไม่ทำจึงถือว่าการก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน การกระทำของบริษัทฯ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ ให้บริษัทฯ ซ่อมแซมความเสียหายของบ้านและชดใช้ หากไม่สามารถแก้ไขความเสียหายได้ให้ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๓๐๙,๐๐๐ บาท และให้บริษัทฯ ชดใช้ค่าเสียหายจากการว่าจ้างการตรวจสอบบ้านจำนวน ๑๖,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายจากการติดตามผลการทรุดตัวของบ้าน จำนวน ๑๖,๐๐๐ บาท ค่าเสียหายที่ผู้บริโภคว่าจ้างการประเมินค่าเสียหาย จำนวน ๓,๐๐๐ บาท และค่าเสียหายที่ต้องจัดหาบ้านเช่าในระหว่างซ่อมแซมจำนวน ๗๕,๐๐๐ บาทรวมเป็นเงิน จำนวน ๔๑๙,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับบริษัทแห่งหนึ่ง โดยชำระเงินจอง ๑๐,๐๐๐ บาท เงินทำสัญญา ๕๐,๐๐๐ บาท และเงินดาวน์ ๒๗๑,๘๘๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๓๓๑,๘๘๐ บาท แต่บริษัทฯ ก่อสร้างห้องชุดล่าช้ากว่าระยะเวลาตามสัญญา บริษัทฯ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้บริโภคมีความประสงค์ขอยกเลิกสัญญาและขอเงินคืน มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้แก่ผู้บริโภค จำนวน ๔๙๒,๔๖๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด จำนวน ๒ ห้อง โดยรับโอนสิทธิมาจากผู้จะซื้อเดิมทั้ง ๒ ห้อง ซึ่งผู้บริโภครับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดดังกล่าวจากบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ได้เรียกเก็บค่าส่วนกลางล่วงหน้า ๖ เดือน เดือนละ ๓๐ บาท ต่อตารางเมตร รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๑๐,๖๐๔ บาท และเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการทำเอกสารรับโอนสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายห้องละ ๓,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๖,๐๐๐ บาท
ผู้บริโภคในฐานะเจ้าของร่วมจึงมีหน้าที่ต้องชำระค่าส่วนกลางล่วงหน้าให้กับนิติบุคคลอาคารชุดนับตั้งแต่วันที่รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด แต่บริษัทฯ เรียกเก็บค่าส่วนกลางล่วงหน้าจากผู้บริโภคก่อนวันที่รับโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งบริษัทฯ ไม่มีสิทธิเรียกเก็บค่าส่วนกลางล่วงหน้า แต่มีหน้าที่ต้องชำระค่าส่วนกลางล่วงหน้าห้องชุดทั้งสองห้องให้กับนิติบุคคลอาคารชุดก่อนวันที่รับโอนกรรมสิทธิ์ รวมค่าส่วนกลางล่วงหน้าที่ต้องชำระให้กับนิติบุคคลอาคารชุดทั้งหมด ๗,๖๔๙.๗๐ บาท กรณีบริษัทฯ เรียกเก็บค่าส่วนกลางล่วงหน้าดังกล่าวจากผู้บริโภคก่อนวันที่ผู้บริโภคได้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด จึงเป็นการเรียกเก็บไม่ชอบด้วยกฎหมาย บริษัทฯ จึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับผู้บริโภค
ส่วนประเด็นการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายการโอนสิทธิตามสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด บริษัทฯ มีหน้าที่ต้องจัดทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดให้เป็นไปตามที่กำหนด เมื่อบริษัทฯ เรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการทำเอกสารห้องละ ๓,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๖,๐๐๐ บาท การเรียกเก็บเงินดังกล่าว จึงเป็นการเรียกเก็บไม่ชอบด้วยกฎหมาย บริษัทฯ จึงต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้กับผู้บริโภค เมื่อบริษัทฯ ปฏิเสธไม่คืนเงินจึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินค่าส่วนกลางล่วงหน้าจำนวน ๗,๖๔๙.๗๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการทำเอกสารการเปลี่ยนสัญญาจำนวน ๖,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้นจำนวน ๑๓,๖๔๙.๗๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายให้แก่ผู้บริโภค
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาซื้อขายบ้านในโครงการแห่งหนึ่ง โดยชำระเงินจอง ๕,๐๐๐ บาท เงินทำสัญญา ๖๐,๐๐๐ บาท และเงินดาวน์ ๕๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๑๕,๐๐๐ บาท ต่อมาพบว่าบ้านและรายละเอียดภายในตัวบ้านไม่เรียบร้อยไม่เป็นไปตามบ้านตัวอย่าง จึงได้แจ้งให้เจ้าของโครงการแก้ไข แต่ได้มีการแก้ไขเพียงบางส่วน ผู้บริโภคจึงขอให้คืนเงินทั้งหมด ซึ่งเจ้าของโครงการตกลงจะคืนเงินให้ แต่ปรากฏว่าผู้บริโภคยังไม่ได้รับเงินคืนจึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้แก่ผู้ลริโภค จำนวน ๒,๑๙๘,๒๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจองซื้อห้องชุดจำนวน ๒ ห้อง กับบริษัทแห่งหนึ่ง โดยเป็นห้องชุดชั้นที่ ๒๔ ราคา ๒๓,๕๔๐,๐๐๐ บาท ชำระเงินจำนวน ๒,๓๕๙,๕๐๐ บาท และห้องชุดห้องชั้นที่ ๔๓ ราคา ๒๐,๘๘๐,๐๐๐ บาท ชำระเงินจำนวน ๒,๑๙๘,๒๐๐ บาท ภายหลังทำสัญญาจองซื้อพบว่า บริษัทฯ ได้มีการยุบรวมห้องชุดชั้นที่ ๔๓ โดยยุบรวมห้องชุดขนาดเล็กเป็นห้องใหญ่ แต่บริษัทฯ ไม่ได้แก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบหรือขนาดห้องชุดของผู้บริโภคแต่อย่างใด ในการเปลี่ยนแปลงแผนผังห้องชุดชั้นที่ ๔๓ บริษัทฯ มีสิทธิกระทำการดังกล่าวได้แต่การกระทำนั้นต้องเป็นไปตามข้อกำหนดในสัญญาจอง
ดังนั้น ผู้บริโภคย่อมทราบดีอยู่แล้วว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงแผนผังของโครงการ เพื่อความเหมาะสมในการดำเนินการ แต่การดัดแปลงดังกล่าวต้องเป็นไปตามข้อกำหนดและเงื่อนไขของทางราชการ ซึ่งการกระทำของบริษัทฯ ตามเอกสารชี้แจงแจ้งว่าได้กระทำไปโดยเหตุผลภายในของบริษัทฯ ไม่เกี่ยวกับข้อกำหนดของทางราชการแต่อย่างใด การกระทำดังกล่าวจึงไม่อาจรับฟังได้ตามสัญญา บริษัทฯ ไม่สามารถกระทำได้ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินห้องชุด ชั้นที่ ๔๓ จำนวน ๒,๑๙๘,๒๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน ๑๐ เรื่อง
กรณีผู้บริโภคได้ซื้อบัตรกำนัล (voucher) จากบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อจองที่พัก จำนวน๒ ใบ รวมราคา ๒๓,๘๐๐ บาท แต่ไม่สามารถใช้บริการได้ตามสัญญา และไม่มีการแจ้งแนวทางการคืนเงินหรือแนวทางการเยียวยาความเสียหายที่ชัดเจนให้ผู้บริโภคทราบ พฤติกรรมและการกระทำดังกล่าวของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจมีเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภครายอื่น ๆ ทำให้เกิดความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภครายอื่น อีกทั้ง การกระทำดังกล่าวไม่สุจริต พฤติการณ์ฉ้อฉลหลอกลวงผู้บริโภคให้หลงเชื่อซื้อบัตรกำนัล (voucher)
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้แก่ผู้บริโภค จำนวน ๒๓,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจองรถวันคอยน์ กับห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่ง เพื่อจองรถยนต์ ยี่ห้อ โตโยต้า ALPHARD โดยชำระเงินมัดจำเพื่อเป็นการจองและทำสัญญา จำนวน ๓๐๐,๐๐๐ บาท และค่าดำเนินการ จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๕๐,๐๐๐ บาท และชำระด้วยสกุลเงินดิจิตอลเหรียญวันคอยน์ จำนวน ๖,๔๐๐ เหรียญ (มูลค่าเหรียญละ ๑,๐๐๐ บาท ) คิดเป็นมูลค่าสกุลเงินบาท จำนวน ๖,๔๐๐,๐๐๐ บาท แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ไม่ส่งมอบรถยนต์ให้ตามสัญญา ผู้บริโภคได้ติดตามทวงถามหลายครั้ง แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง ห้างหุ้นส่วนฯ เป็นฝ่ายผิดสัญญาและละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ต้องชำระค่าปรับเท่ากับเงินมัดจำและเงินที่ได้รับทั้งหมดเพื่อเป็นค่าเสียหายให้แก่ผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินมัดจำสกุลบาท จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท ค่าปรับเป็นเงิน จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๗๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจองรถวันคอยน์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่ง จำนวน ๒ ฉบับ ดังนี้ สัญญาจองรถวันคอยน์เพื่อจองรถยนต์ ยี่ห้อ BENZ โดยชำระเงินมัดจำเพื่อเป็นการจอง ทำสัญญาและค่าดำเนินการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๐๐,๐๐๐ บาท และชำระด้วยสกุลเงินดิจิตอล เหรียญวันคอยน์ จำนวน ๕,๗๔๐ เหรียญ (มูลค่าเหรียญละ ๑,๐๐๐ บาท) คิดเป็นมูลค่าสกุลเงินบาท จำนวน ๕,๗๔๐,๐๐๐ บาท และทำสัญญาจองรถวันคอยน์เพื่อจองรถยนต์ ยี่ห้อ TOYOTA ALPHARD ชำระเงินมัดจำเพื่อเป็นการจองทำสัญญาและค่าดำเนินการ รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๐๐,๐๐๐ บาท และชำระด้วยสกุลเงินดิจิตอล เหรียญวันคอยน์ จำนวน ๔,๘๐๐ เหรียญ (มูลค่าเหรียญละ ๑,๐๐๐ บาท) คิดเป็นมูลค่าสกุลเงินบาท จำนวน ๔,๘๐๐,๐๐๐ บาท
แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ไม่สามารถส่งมอบและโอนกรรมสิทธิ์รถยนต์ให้แก่ผู้บริโภคภายในระยะเวลาที่กำหนดตามสัญญา ห้างหุ้นส่วนฯ เป็นฝ่ายผิดสัญญาและละเมิดสิทธิของผู้บริโภค ต้องชำระค่าปรับเท่ากับเงินมัดจำและเงินที่ได้รับทั้งหมดเพื่อเป็นค่าเสียหายให้แก่ผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินมัดจำเป็นเงิน จำนวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท ค่าปรับเป็นเงินจำนวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑,๖๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ผู้บริโภคได้ทำสัญญาจองรถยนต์ ยี่ห้อ BENZ กับห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่ง โดยชำระด้วยเงินสด จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท โดยชำระเงินให้กับหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ และชำระด้วยสกุลเงินดิจิตอลเหรียญวันคอยน์ จำนวน ๖,๕๑๘ เหรียญ (เหรียญวันคอยน์ ๑ เหรียญ มูลค่า ๑,๐๐๐ บาท) แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ไม่ส่งมอบรถยนต์ให้แก่ผู้บริโภคตามสัญญา จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญา ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ คืนเงินให้เพียง ๒๒๐,๐๐๐ บาท และได้คืนเงินสกุลดิจิตอลให้แก่ผู้บริโภคเรียบร้อยแล้ว
ผู้บริโภคจึงมีความประสงค์ให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ คืนเงินที่ผู้บริโภคชำระไปแล้วทั้งหมด การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ไม่คืนเงินมัดจำในส่วนที่เหลือและไม่ชำระค่าปรับให้แก่ผู้บริโภคตามสัญญา จึงเป็นการละเมิดสิทธิต่อผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้ผู้บริโภค เงินมัดจำ จำนวน ๑๓๐,๐๐๐ บาท และค่าปรับเป็นเงิน จำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจองรถยนต์ BMW กับห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่ง โดยชำระด้วยเงินสด จำนวน ๔๓๐,๐๐๐ บาท และชำระด้วยสกุลเงินดิจิตอลเหรียญวันคอยน์ จำนวน ๕,๘๐๑ เหรียญ (เหรียญวันคอยน์ ๑ เหรียญ มูลค่า ๑,๐๐๐ บาท) แต่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ไม่ส่งมอบรถยนต์ให้แก่ผู้บริโภคตามสัญญาและได้ติดตามทวงถามหลายครั้ง แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง
ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ได้คืนเงินสกุลดิจิตอล เหรียญวันคอยน์ให้แก่ผู้บริโภคทั้งหมดแล้ว ยังคงเหลือสกุลเงินบาท จำนวน ๔๓๐,๐๐๐ บาท และค่าปรับ เป็นเงินจำนวน ๔๓๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๖๐,๐๐๐ บาท การที่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ไม่คืนเงินมัดจำและไม่ชำระค่าปรับให้แก่ผู้บริโภคตามสัญญา จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้แก่ผู้บริโภค เงินมัดจำ จำนวน ๔๓๐,๐๐๐ บาท และค่าปรับเป็นเงิน จำนวน ๔๓๐,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๘๖๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้จองรถยนต์ใช้แล้ว ยี่ห้อ Lamborghini กับผู้ประกอบธุรกิจแห่งหนึ่งซึ่งผู้บริโภคได้ชำระเงินมัดจำเป็นเงินจำนวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท และได้มีการตรวจสอบเลขระยะการใช้งาน รถยนต์คันดังกล่าวที่ ๑๗,๒๙๒ กิโลเมตร ต่อมามีการประกาศขายรถยนต์คันดังกล่าวบนเฟซบุ๊กชื่อหนึ่งและพบว่ามีเลขระยะการใช้งานที่ ๖๑,๕๑๔ กิโลเมตร ซึ่งไม่ตรงกับข้อความโฆษณา ผู้ประกอบธุรกิจจึงได้คืนเงินมัดจำ เป็นเงินจำนวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท คงเหลืออีก ๑๕๐,๐๐๐ บาท
จากการเจรจาไกล่เกลี่ยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้จึงได้จัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แต่ปรากฏว่าผู้ประกอบธุรกิจไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินจำนวน ๑๕๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคใช้บริการซักอบรีดกระโปรงทำงาน จำนวน ๒ ตัว และเสื้อเชิ้ต จำนวน๓ ตัว ดำเนินการโดยบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นเงินจำนวน ๑๖๐.๕๐ บาท แต่เมื่อผู้บริโภคได้รับเสื้อผ้าพบว่า กระโปรงทำงานทั้งสองตัวเป็นรอยด่างและไม่สามารถใช้งานได้ ผู้บริโภคจึงมีความประสงค์ให้ชดใช้ค่าเสียหาย
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินจำนวน ๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ติดต่อผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อว่าจ้างถมที่ดิน โดยได้ตกลงทำสัญญา กำหนดว่าผู้บริโภคต้องชำระเงินให้ จำนวน ๒ งวด รวมเป็นเงิน ๑๘๐,๐๐๐ บาทเมื่อบริษัทฯ ดำเนินการแล้วเสร็จ ผู้บริโภคได้ให้พนักงานมารังวัดที่ดินปรากฏว่าไม่สามารถรังวัดได้ เนื่องจากบริษัทฯ มิได้ถมที่ดินให้เต็มพื้นที่ การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้ถมที่ดินที่เหลือให้ครบตามบันทึกข้อตกลง หากไม่สามารถดำเนินการถมที่ดินให้เป็นไปตามบันทึกข้อตกลงฉบับดังกล่าวได้ ให้ชดใช้ราคาค่าถมดินในส่วนที่เหลือเป็นเงินจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย และค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรังวัดที่ดินในส่วนที่เหลือ
กรณีผู้บริโภคทำสัญญาว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่งจัดหาพนักงานมาดูแลตนเองโดยผู้บริโภคได้มีการโอนชำระเงินมัดจำล่วงหน้าเป็นเงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท และค่าบริการเป็นเงินจำนวน๓,๐๐๐ บาท เป็นเงินทั้งสิ้น ๑๘,๐๐๐ บาท ต่อมาพนักงานของห้างฯ ขอลากลับบ้านซึ่งห้างฯ ยินดีคืนเงินมัดจำจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท และขอหักค่าจ้างฯ ซึ่งได้คืนเงินมัดจำบางส่วนจำนวน ๒,๕๐๐ บาท คงเหลือเงิน ๙,๕๐๐ บาท ภายหลังห้างฯ มิได้ชำระเงินคืนให้แก่ผู้บริโภคอีก การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินจำนวน ๙,๕๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภค จำนวน ๒ ราย ได้ซื้อตั๋วโดยสารเครื่องบิน เส้นทางกรุงเทพฯ-โดฮา-บรัสเซลส์ กับบริษัทแห่งหนึ่ง ในราคารายละ ๒๒,๖๐๐ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๔๕,๒๐๐ บาท ปรากฏว่า เมื่อผู้บริโภคทั้ง ๒ รายเดินทางถึงกรุงโดฮา เพื่อทำการเปลี่ยนเที่ยวบิน แต่สายการบินฯ แจ้งว่า ไม่สามารถเดินทางต่อไปยังประเทศเบลเยียมได้ เนื่องจากหน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองเบลเยียมปฏิเสธที่จะให้เข้าประเทศ และส่งผู้บริโภคทั้ง ๒ รายกลับประเทศไทยทันที
บริษัทในฐานะผู้ให้บริการได้ยึดหนังสือเดินทางและไม่ได้ขนส่งผู้ร้องทั้งสองรายไปยังจุดหมายปลายทางตามสัญญาที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏว่าภายหลังจากที่ผู้บริโภคทั้งสองรายพ้นจากการกักตัวแล้ว ผู้บริโภคทั้งสองรายสามารถเดินทางด้วยสายการบินเข้าประเทศเบลเยียมได้ด้วยการยื่นเอกสารเดินทางชุดเดิม และบริษัทไม่สามารถแสดงหลักฐานให้เป็นที่ประจักษ์ได้ว่าได้ส่งเอกสารหลักฐานของผู้บริโภคทั้งสองรายไปให้หน่วยงานตรวจคนเข้าเมืองเบลเยียมตรวจสอบ เพื่อพิจารณาอนุญาตให้ผู้บริโภคทั้งสองรายเดินทางเข้าประเทศเบลเยียม การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการผิดสัญญาและละเมิดสิทธิของผู้ผู้บริโภค
มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินผู้บริโภครายที่ ๑ เป็นเงินจำนวน ๖๖,๘๙๕ บาท และผู้บริโภครายที่ ๒ เป็นเงินจำนวน ๕๘,๖๑๐ บาทรวมเป็นเงิน ๑๒๕,๕๐๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ ๖/๒๕๖๕ ได้มีการดำเนินคดีแพ่งแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค รวมจำนวน ๑๕ ราย โดยบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจคืนเงินให้แก่ผู้บริโภค เป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๙,๓๑๕,๓๑๕ บาท (เก้าล้านสามแสนหนึ่งหมื่นห้าพันสามร้อยสิบห้าบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

