สนค. คาดวิกฤติด้านราคาน้ำมันปาล์มจะคลี่คลายลงในอีก 1 – 2 เดือนข้างหน้าหลังอินโดนีเซียกลับลำนโยบายหันมาส่งออกน้ำมันปาล์มอีกครั้ง

นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า(สนค.) เปิดเผยว่า สนค.ได้ติดตามและประเมินสถานการณ์หลังอินโดนีเซีย ยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันปาล์ม ตามนโยบายของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์(นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ที่มุ่งเน้นการแก้ปัญหาราคาสินค้า เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน

น้ำมันปาล์มบรรจุขวด เป็นหนึ่งในสินค้าที่อยู่ในความดูแลของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ จากสถิติราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวดในปี 2564 พบว่าราคาน้ำมันปาล์มดิบกึ่งบริสุทธิ์อยู่ที่ขวดละ 54-55 บาท ขณะที่ปัจจุบัน(พฤษภาคม 2565) ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ขวดละ 68 บาท สืบเนื่องจากราคาเฉลี่ยของผลปาล์มดิบปรับเพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ย 6.5 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2564 เป็น 9.6 บาทต่อกิโลกรัม ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2565

การขยับขึ้นของราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก เกิดขึ้นจาก 4 สาเหตุหลักคือ

1) การฟื้นตัวของความต้องการน้ำมันปาล์มในตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดอินเดีย

2) มาตรการห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียเพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนในประเทศ โดยในปี ๒๕๖๕ ได้ออกมาตรการห้ามส่งออกน้ำมันปาล์มแล้ว ๒ ครั้ง คือเดือนมกราคม – มีนาคม และเดือนพฤษภาคม

3) ผลกระทบด้านพลังงานที่เกิดจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้มีการใช้น้ำมันปาล์มผสมเป็นไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นในฐานะพลังงานทดแทน

4) ผลกระทบจากภัยแล้งในแอฟริกาใต้ทำให้ปริมาณผลผลิตถั่วเหลืองลดลง ภาคการผลิตอาหารส่วนใหญ่จึงจำเป็นต้องหันมาใช้น้ำมันปาล์มเป็นทางเลือกมากขึ้น

สำหรับประเด็นที่อินโดนีเซียประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกน้ำมันปาล์ม ซึ่งมีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม 2565 นั้น สนค.ประเมินว่า แม้ว่าอินโดนีเซียจะเริ่มส่งออกน้ำมันปาล์มได้อีกครั้งแต่คาดว่าราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลกจะยังคงทรงตัวระดับสูงในระยะสั้น โดยวิกฤติด้านราคาน่าจะคลี่คลายลงในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าเมื่ออุปทานน้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซียเข้าสู่ตลาดอย่างเต็มที่ โดยคาดการณ์ว่าจะมีอุปทานน้ำมันปาล์มจากอินโดนีเซียเข้าสู่ตลาดเพิ่มขึ้นในช่วง 1-2 เดือนนับจากนี้เนื่องจากมีผลผลิตปาล์มส่วนหนึ่งที่เกษตรกรเก็บไว้ในช่วงที่มีประกาศห้ามส่งออก เมื่อรวมกับผลผลิตปัจจุบันด้วยแล้ว ทำให้นักวิเคราะห์ต่างคาดหมายว่าจะมีอุปทานน้ำมันปาล์มเข้าสู่ระบบมากขึ้น

ปัจจุบัน อินโดนีเซียมีการเก็บสต็อกน้ำมันปาล์มอยู่แล้วประมาณ 5 ล้านตัน ขณะที่ความสามารถในการกักเก็บเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 6-7 ล้านตัน ซึ่งจะเต็มความจุภายในสิ้นเดือนมิถุนายน 2565 และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียต้องหันกลับมาส่งออกน้ำมันปาล์มอีกครั้ง เพราะหากยังไม่มีการส่งออก ก็จะไม่มีการรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรในช่วงถัดไป เมื่อผลผลิตล้นตลาดและไม่มีสถานที่เก็บสต็อกจะเกิดการเน่าเสีย นอกจากเหตุผลในด้านปริมาณส่วนเกินในตลาดอินโดนีเซียแล้ว การเก็บสต็อกน้ำมันปาล์มเป็นเวลานาน ยังส่งผลให้น้ำมันปาล์มเสื่อมคุณภาพลงอย่างรวดเร็วด้วย

ทั้งนี้ จากสถิติด้านการผลิตและการบริโภคน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียพบว่า อินโดนีเซียมีความสามารถในการผลิต 4 ล้านตันต่อเดือน ใช้บริโภคในประเทศเพียง 1.5 ล้านตันต่อเดือนเท่านั้น ส่วนที่เหลือจะถูกส่งออกในปริมาณ 2.5 ล้านตันต่อเดือน ข้อมูลนี้บ่งชี้ว่าปริมาณน้ำมันปาล์มส่วนเกินเหล่านี้ และความสามารถในการเก็บสต็อกที่มีอยู่อย่างจำกัด เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อินโดนีเซียต้องกลับมาส่งออกน้ำมันปาล์มอีกครั้งแต่ราคาอาจยังไม่ลดลงในทันที เนื่องจากข้อบังคับของรัฐบาลอินโดนีเซียที่ยังกำหนดเพดานการส่งออกเพื่อป้องกันการขาดแคลนในประเทศ ขณะเดียวกัน ในด้านอุปสงค์ของผู้นำเข้าจากอินเดียจีน และสหภาพยุโรปต่างคาดการณ์ว่าราคาน้ำมันปาล์มในอนาคตจะอยู่ในช่วงขาลง ทำให้ผู้นำเข้าส่วนหนึ่งชะลอการนำเข้าเพื่อรอราคาที่เหมาะสม

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกรมการค้าภายใน ได้ชี้ให้เห็นถึงภาวะตลาดของน้ำมันปาล์มของไทย ณ วันที่31 พฤษภาคม 2565 พบว่า ประเทศไทยมีสต็อกของน้ำมันปาล์มต่อเดือนอยู่ที่ระดับ 190,000-200,000 ตันซึ่งนอกจากจะเพียงพอต่อความต้องการในประเทศแล้ว ไทยยังสามารถส่งออกไปยังต่างประเทศเพื่อสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรและประเทศได้อีกด้วย โดยตลาดส่งออกหลักของไทย คือ ประเทศอินเดีย ซึ่งมีมูลค่าส่งออกในสัดส่วนร้อยละ 74.7 ของการส่งออกน้ำมันปาล์มทั้งหมดของไทยในไตรมาสแรก ปี 2565 ขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทย อยู่ที่ 54-55 บาทต่อลิตร ซึ่งใกล้เคียงกับราคาน้ำมันปาล์มดิบของมาเลเซียที่ 55-56 บาทต่อลิตรนอกจากนี้การตึงตัวของอุปทานน้ำมันปาล์มในตลาดโลก เป็นโอกาสการส่งออกน้ำมันปาล์มของไทยที่จะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้น

นายรณรงค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงพาณิชย์โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งเจรจากับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งระบบทั้งเกษตรกร และโรงกลั่น พร้อมทำความเข้าใจกับผู้บริโภค เพื่อให้เกิดความสมดุลของราคาที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนน้อยที่สุด ขณะที่เกษตรกรชาวสวนปาล์มได้ราคาดีที่สุด และเพื่อสร้างความมั่นใจว่าจะไม่เกิดปัญหาการขาดแคลนในประเทศในระยะยาวต่อไป
—————————————————-
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
กระทรวงพาณิชย์
9 มิถุนายน 2565