สธ. เผยสถานการณ์โควิดต่ำกว่าคาดการณ์ แนะรับเข็มสามให้เกิน 60% ช่วยเปิดประเทศปลอดภัย ใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติ

กระทรวงสาธารณสุข เผย สถานการณ์โควิด 19 ลดต่ำกว่าคาดการณ์ ผู้ป่วยปอดอักเสบเริ่มทรงตัวพบการติดเชื้อในโรงเรียนประจำบางแห่ง ใช้การแยกโซนได้ไม่ต้องปิดเรียน ย้ำหากต้องการเปิดประเทศปลอดภัยใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติ ให้ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นเกิน 60% ช่วยป้องกันป่วยรุนแรงได้ถึง 93-99% ส่วนการปรับลดมาตรการสวมหน้ากากอนามัย พิจารณาเป็นรายพื้นที่และสถานที่ เน้นพื้นที่ระบาดน้อย ฉีดวัคซีนเข็มสามได้สูงเริ่มพื้นที่โล่งแจ้งก่อน แต่กลุ่มเสี่ยง 608 หรืออยู่ในสถานที่คนแออัดยังต้องสวม

วันที่ 25 พฤษภาคม 2565 ที่ศูนย์แถลงข่าวสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นพ.จักรรัฐ พิทยาวงศ์อานนท์ ผู้อำนวยการกองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค และ นพ.ทวีทรัพย์ ศิรประภาศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิ กรมควบคุมโรค แถลงสถานการณ์โควิด 19 และประสิทธิผลวัคซีนโควิด 19 จากการใช้จริงในช่วงการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน

นพ.จักรรัฐกล่าวว่า ช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ผู้ติดเชื้อโควิด 19 รายใหม่ของประเทศไทยมีแนวโน้มลดลงเฉลี่ย 4-5 พันคนต่อวัน ต่ำกว่าที่คาดการณ์ ผู้ป่วยปอดอักเสบและใส่ท่อช่วยหายใจอยู่ในเกณฑ์คงตัว ส่วนผู้เสียชีวิตรายวันอยู่ในกลุ่ม 608 คือผู้สูงอายุและผู้มีโรคเรื้อรัง โดยครึ่งหนึ่งมีอายุเกิน 70 ปี และส่วนใหญ่ไม่ได้รับวัคซีน ครบตามเกณฑ์คือ 3 เข็มขึ้นไป จึงต้องรณรงค์ให้กลุ่มเสี่ยง 608 มารับวัคซีนทั้งเข็มปกติและเข็มกระตุ้น เพื่อลดการเสียชีวิต

ขณะที่ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาในระบบลดลงจากเดิมเกือบ 2 แสนราย เหลือไม่ถึง 5 หมื่นราย สอดคล้องกับมาตรการที่ผ่อนคลายลง โดยขณะนี้ยังคงการเตือนภัยโควิดระดับ 3 แต่หากการติดเชื้อ การป่วยหนักและเสียชีวิตลดลงต่อเนื่อง อาจปรับลดการเตือนภัยเป็นระดับ 2 ซึ่งจะมีการผ่อนคลายมากขึ้น ใช้ชีวิตได้ปกติมากขึ้น สำหรับสถานการณ์หลังเปิดเทอม ขณะนี้เริ่มพบการระบาดเป็นกลุ่มก้อนในบางโรงเรียน โดยเฉพาะโรงเรียนประจำซึ่งสามารถแยกโซนเรียนได้โดยไม่ต้องปิดโรงเรียน จึงขอให้เน้นเรื่องการสวมหน้ากากและเว้นระยะห่าง และขอให้กลุ่มเด็กเล็กอายุ 5-11 ปี ไปรับวัคซีนตามกำหนด เพราะอาจมีการแพร่เชื้อและรับเชื้อระหว่างกันได้

ด้าน นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวว่า คณะทำงานศูนย์ประเมินผลประสิทธิผลและประสิทธิภาพวัคซีน กรมควบคุมโรค ได้ศึกษาข้อมูลการใช้จริงวัคซีนโควิด 19 ในประเทศไทย ช่วงเดือนมกราคม – มีนาคม 2565 ซึ่งเป็นการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน จากผู้ฉีดวัคซีนกว่า 5 แสนรายทั่วประเทศ เพื่อดูประสิทธิผลในการป้องกันการติดเชื้อการป่วยหนักและการเสียชีวิต เปรียบเทียบกับผู้ที่ไม่ได้รับวัคซีน พบว่า การฉีดวัคซีน 2 เข็ม ป้องกันติดเชื้อโอมิครอนได้น้อยมาก แต่ยังป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ 75% หากฉีด 3 เข็ม ป้องกันติดเชื้อประมาณ 15% ป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ 93% ส่วนการฉีด 4 เข็ม ป้องกันติดเชื้อโอมิครอนได้เพิ่มขึ้นเป็น 76% ซึ่งเป็นเหตุผลว่าบางคนฉีด 4 เข็มแล้วยังมีการติดเชื้อ

ส่วนการป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตพบสูงถึง 99% และที่น่าสนใจคือไม่พบการเสียชีวิตในผู้ที่ฉีดวัคซีน 4 เข็ม ดังนั้น จึงขอให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงเข้ารับวัคซีนเข็มกระตุ้นเพื่อช่วยป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต และหากต้องการให้เปิดประเทศได้อย่างปลอดภัย กลับไปใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติ ต้องฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากกว่า 60% ขึ้นไป ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขมีวัคซีนเพียงพอสำหรับผู้ที่ต้องการรับวัคซีนทั้งเข็มที่ 3 เข็มที่ 4

นพ.ทวีทรัพย์ กล่าวต่อว่า ผู้ที่ไม่ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ส่วนหนึ่งคิดว่าฉีด 2 เข็มเพียงพอแล้ว อีกส่วนกังวลผลข้างเคียง ซึ่งผลการศึกษาพบว่าวัคซีน 2 เข็มไม่เพียงพอ ส่วนเรื่องผลข้างเคียง ส่วนใหญ่ไม่รุนแรงและสามารถหายได้เอง เช่น ไข้ ปวดเมื่อย เป็นต้น ยืนยันว่าวัคซีนทุกสูตรที่ประเทศไทยใช้มีความปลอดภัยและมีประสิทธิผลป้องกันการป่วยรุนแรงและเสียชีวิตได้ ส่วนเรื่องการเตรียมปรับคำแนะนำการสวมหน้ากากอนามัยนั้น เนื่องจากเรามีทิศทางที่จะผ่อนคลายเพื่อเข้าสู่การใช้ชีวิตใกล้เคียงปกติมากขึ้น จึงจะเริ่มมีการปรับลดมาตรการ

โดยเฉพาะมาตรการส่วนบุคคล เช่น การสวมหน้ากากอนามัย อาจจะเริ่มปรับในพื้นที่ที่มีความพร้อมก่อน โดยต้องพิจารณาจากสถานการณ์การระบาดที่ลดลง ประชาชนรับวัคซีนเข็มกระตุ้นเกิน 60-70% และพิจารณาเป็นบางสถานที่ก่อน เช่น สถานที่เปิดโล่ง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยังคงเน้นการป้องกันในกลุ่มเสี่ยง 608 และป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดใหญ่

******************************************** 25 พฤษภาคม 2565