เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต ผู้ประกอบการมีแนวโน้มที่จะต้องเผชิญกับกระแสความท้าทายที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น อาทิ ความขัดแย้งทางการค้าโลก และการแพร่ระบาดของโรคโควิด – ๑๙ เป็นต้น ส่งผลให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงต้องเร่งปรับตัว และร่วมมือกันแก้ปัญหา โดยมีความจำเป็นที่จะต้องปรับกฎหมาย ปรับโครงสร้างแรงจูงใจ และปรับนโยบายการแข่งขันทางการค้า เพื่อทำให้ผู้ประกอบการไทย มีความสามารถในการแข่งขันเท่าเทียมต่างประเทศและเติบโตได้ ดังนั้น ข้อมูลสถิติจากสำมะโนธุรกิจและอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ประเทศมีโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลทางเศรษฐกิจสำหรับภาครัฐ และภาคเอกชนใช้เป็นเครื่องมือในการสนับสนุนการกำหนดนโยบายและวางแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่น ตลอดจนยกระดับศักยภาพการเติบโตของเศรษฐกิจไทยได้ในระยะยาว
ดร.ปิยนุช วุฒิสอน ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ เปิดเผยว่า โครงการสำมะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2565 หรือเรียกสั้น ๆ ว่าโครงการ สธอ. เป็นโครงการสำมะโนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ จัดทำขึ้นตามข้อเสนอแนะขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ประเทศมีข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญทางด้านธุรกิจทางการค้า ธุรกิจทางการบริการ และอุตสาหกรรมการผลิต อย่างต่อเนื่อง เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในทุกภาคส่วน
หน่วยงานภาครัฐ เช่น สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ใช้ประกอบการจัดทำบัญชีผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ/รายได้ประชาชาติของประเทศ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ใช้สนับสนุนการจัดทำฐานข้อมูล SMEs ของประเทศ เพื่อส่งเสริมสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SMEs กรมพัฒนาธุรกิจการค้า ใช้ข้อมูลเพื่อกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการส่งเสริมธุรกิจ e-Commerce สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ใช้ประกอบการจัดทำค่าถ่วงน้ำหนักของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม และธนาคารแห่งประเทศไทย ใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อออกมาตรการและนโยบายทางการเงินต่างๆ เป็นต้น
ภาคเอกชน สามารถใช้ข้อมูล สธอ. ในการเปรียบเทียบธุรกิจของตนกับภาพรวมของธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง และใช้ประกอบการตัดสินใจวางแผนการลงทุน/ขยายกิจการ
อีกทั้งภาคประชาชน ยังสามารถใช้ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจเข้ามาทำธุรกิจของกลุ่มผู้ประกอบการรายย่อยขนาดเล็กและขนาดกลาง หรือที่เรียกว่า MSME เช่น การขายสินค้าออนไลน์หรือกลุ่ม Start up สามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อยอดเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์ สำหรับการสร้างงานสร้างรายได้ให้กับตนเอง
โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา สำนักงานสถิติแห่งชาติ หรือ สสช. สังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้เก็บรวบรวมข้อมูลพื้นฐานของสถานประกอบการทุกประเภททั้งที่อยู่ในระบบทะเบียนและ นอกระบบทะเบียน หรือที่เรียกว่า “งานนับจด” (Listing)” เช่น ชื่อสถานประกอบการ ที่ตั้ง กิจกรรมทางเศรษฐกิจ จำนวนคนทำงาน เป็นต้น เพื่อแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างและการกระจายตัวของสถานประกอบการประเภทต่างๆ
สำหรับในปี 2565 นี้ จะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดของสถานประกอบการธุรกิจทางการค้า ธุรกิจทางการบริการ และอุตสาหกรรมการผลิต เกี่ยวกับผลการประกอบกิจการของสถานประกอบการ หรือเรียกว่า “งานแจงนับ” โดยมีรายการข้อถามที่จัดเก็บ เช่น จำนวนคนทำงาน ค่าตอบแทนแรงงาน ค่าใช้จ่ายในการผลิตและดำเนินงาน ผลผลิตและรายรับของสถานประกอบการ เป็นต้น และเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจและสังคมของประเทศอย่างต่อเนื่อง สสช. จึงจะรวบรวมข้อมูลผลกระทบและแนวทางแก้ไขปัญหาจากการแพร่ระบาดที่สถานประกอบการต้องเผชิญ รวมทั้ง ความต้องการให้ภาครัฐเข้าไปช่วยเหลือเพิ่มเติมด้วย
โดย “คุณมาดี” เจ้าหน้าที่จาก สสช. จะลงพื้นที่เก็บรวบรวมข้อมูลพร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม ถึง 31 สิงหาคม 2565 คุณมาดีจะผ่านการตรวจ ATK และปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มช่องทางในการให้ข้อมูลผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการด้วย
“สสช. จึงขอความร่วมมือผู้ประกอบการ ให้ข้อมูลกับโครงการ สธอ. เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาใช้พัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และขอให้ทุกท่านมั่นใจว่าข้อมูลที่ให้จะถูกเก็บเป็นความลับ และรักษาความปลอดภัยของข้อมูลตาม พ.ร.บ. สถิติ และ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัด ผู้ให้ข้อมูลจึงมั่นใจได้ว่า ข้อมูลจะไม่รั่วไหล ไม่โยงใยเรื่องภาษีหรือข้อกฎหมายใด ๆ อย่างแน่นอน” ดร.ปิยนุชฯ กล่าว