สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้ศึกษา ติดตาม นโยบายและมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เชื่อมโยงกับการค้า เพื่อเป็นแนวทางให้เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยที่ต้องการส่งออกสินค้า สามารถปรับกระบวนการผลิตตลอดห่วงโซ่เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายคาร์บอนต่ำ ให้สินค้าไทยเป็นสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม สอดรับเมกะเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญต่อการปกป้องคุ้มครองสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภคยุคใหม่มีแนวโน้มตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ. สนค.) เปิดเผยว่า จากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 ได้ยกระดับเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกให้ท้าทายขึ้น โดยมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ซึ่งทั่วโลกให้ความสำคัญและเร่งดำเนินการทุกด้าน เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด หลายประเทศเริ่มออกนโยบายและมาตรการต่าง ๆ มารองรับเป้าหมายดังกล่าว ซึ่งกลไกสำคัญที่นำมาเป็นเครื่องมือ คือ ตลาดคาร์บอน (Carbon Market) หรือ ตลาดซื้อขายคาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) โดยมีหลักการให้ผู้ก่อมลพิษหรือปล่อยก๊าซเรือนกระจก มีต้นทุนในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยจะต้องชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้น เพื่อให้ภาคการผลิตปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2552 – 2563) ประเทศต่าง ๆ มีการใช้มาตรการที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (Climate-related Measures) รวมทั้งสิ้น 4,355 มาตรการ ซึ่งมาตรการของประเทศต่าง ๆ มีลักษณะแตกต่างกัน มีทั้งมาตรการฝ่ายเดียว (Unilateral Measures) และมาตรการที่เป็นข้อตกลงร่วมกันของหลายประเทศ (Plurilateral initiative) สำหรับตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป เริ่มออกมาตรการจัดเก็บค่าธรรมเนียมก่อนเข้าพรมแดน หรือ ภาษีคาร์บอน
ซึ่งเน้นอุตสาหกรรมหนักที่ปล่อยคาร์บอนสูงในกระบวนการผลิต เช่น กลไกการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Carbon border Adjustment Mechanism: CBAM) ของสหภาพยุโรป ที่เรียกเก็บค่าใบรับรองการนำเข้าสินค้า อาทิ ซีเมนต์ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ปุ๋ย และไฟฟ้า โดยผู้นำเข้าจะต้องเริ่มรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2566 ก่อนบังคับใช้มาตรการ CBAM เต็มรูปแบบ และมีการเก็บค่าหนังสือรับรองจริงในวันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป และมาตรการปรับคาร์บอนก่อนเข้าพรมแดน (Border Carbon Adjustment: BCA) ของสหรัฐอเมริกา อาทิ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ก๊าซธรรมชาติ ปิโตรเลียม ถ่านหิน โดยจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นไป
ผอ.สนค. กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคเกษตรเป็นสาขาหนึ่งที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง บางประเทศ เช่น สหราชอาณาจักร เตรียมแผนการจัดเก็บภาษีคาร์บอน และกำหนดให้ติดฉลากคาร์บอน (Carbon Label/Carbon Footprint Label) สำหรับสินค้านำเข้าประเภทเนื้อสัตว์และนม ซึ่งในส่วนของประเทศไทย ทั้งเกษตรกร ผู้ประกอบการ และภาครัฐ จะต้องให้ความสนใจมากขึ้นกับการเก็บภาษีคาร์บอนในหมวดสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร เนื่องจากไทยเป็นผู้ส่งออกอาหาร ทั้งวัตถุดิบและอาหารแปรรูป ต้องเร่งปรับตัวลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งนี้ หลายประเทศ เช่น อังกฤษ และ สหภาพยุโรป จะมีการจัดเก็บภาษีคาร์บอน และกำหนดให้ติดฉลากคาร์บอน
สำหรับการส่งออกของไทยไปสหภาพยุโรปที่ผ่านมา ส่งออกสินค้าเกษตรเป็นมูลค่า 1,464 ล้านเหรียญสหรัฐ และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเป็นมูลค่า 1,194 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่ส่งออกที่สำคัญ อาทิ ไก่แปรรูป (สัดส่วนร้อยละ 9.84) ข้าว (สัดส่วนร้อยละ 5.03) ผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ (สัดส่วนร้อยละ 9.47) และผลไม้กระป๋องและแปรรูป (สัดส่วนร้อยละ 12.08) ในส่วนการส่งออกไปสหรัฐฯ ส่งออกสินค้าเกษตรเป็นมูลค่า 1,582 ล้านเหรียญสหรัฐ และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเป็นมูลค่า 3,090 ล้านเหรียญสหรัฐ สินค้าที่ส่งออก อาทิ ข้าว (สัดส่วนร้อยละ 14.9) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง (สัดส่วนร้อยละ 2.55) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป (สัดส่วนร้อยละ 39.72) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป (สัดส่วนร้อยละ 26.60) และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลีและอาหารสำเร็จรูปอื่น ๆ (สัดส่วนร้อยละ 17.16)
ผอ.สนค. กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้สินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ยังไม่มีการพิจารณาการเก็บภาษีคาร์บอนในระยะแรกนี้ แต่ต้องติดตามความเคลื่อนไหวของประเทศคู่ค้าอย่างใกล้ชิด และต้องเตรียมความพร้อมเกษตรกร ผู้ประกอบการ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องตลอดทั้งห่วงโซ่มูลค่า โดยการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับมาตรการของประเทศคู่ค้า โดยเฉพาะสินค้าที่มีความเสี่ยงที่จะถูกกำหนดให้ปฏิบัติตามมาตรการ รวมทั้งต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการค้า ให้สามารถวัดและรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อให้ขึ้นทะเบียนคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (Carbon Label/Carbon Footprint Label) ได้ตามมาตรฐานสากลและมาตรฐานที่ประเทศคู่ค้ากำหนด
****************************
สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า
11 เมษายน 2565