วันพฤหัสบดีที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๖๕ เวลา ๑๓.๐๐ น. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) ประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานในการประชุม คคบ. ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕โดยเป็นการประชุมผ่านระบบออนไลน์
จากการประชุม ได้มีมติให้ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จำนวน ๖ เรื่อง (ประเภทห้องชุดคอนโดมิเนียม และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง) ธุรกิจด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน ๖ เรื่อง (ซื้อคอร์สเสริมความงาม สมัครสมาชิกใช้บริการจองที่พัก ขายคืนกำไลฝังเพชร จัดหาพนักงานดูแลผู้ป่วยบริษัทกำจัดปลวก) ดังนี้
ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จำนวน ๖ เรื่อง
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับบริษัทแห่งหนึ่ง โดยได้ชำระเงินจอง ๕๐,๐๐๐ บาท เงินทำสัญญา ๓๗๕,๐๐๐ บาท และเงินดาวน์ ๑,๑๒๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินที่ได้ชำระไปแล้วทั้งสิ้น ๑,๕๕๐,๐๐๐ บาท ต่อมาบริษัทฯ ไม่สามารถก่อสร้างอาคารชุดให้แล้วเสร็จจึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา ผู้บริโภคจึงได้มีหนังสือขอยกเลิกสัญญาและให้บริษัทฯ คืนเงินทั้งหมด พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายแต่บริษัทฯ ไม่คืนเงินให้กับผู้บริโภคจึงเป็นการละเมิดสิทธิ มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงิน จำนวน ๑,๕๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับบริษัทแห่งหนึ่ง ในราคา ๑๐,๘๔๒,๐๐๐ บาท โดยได้ชำระเงินจอง ๘๐,๐๐๐ บาท เงินทำสัญญา ๔๖๓,๐๐๐ บาท และเงินดาวน์ ๑,๖๑๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินที่ผู้บริโภคชำระไปแล้วทั้งสิ้น จำนวน ๒,๑๕๘,๐๐๐ บาท แต่ต่อมาผู้บริโภคมีปัญหาทางการเงิน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า-๒๐๑๙ (Covid-19) ทำให้ไม่สามารถไปรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตามสัญญาได้ จึงมีความประสงค์ขอยกเลิกสัญญาและขอเงินคืน แต่บริษัทฯ ปฏิเสธ และเมื่อพิจารณาเงินจองและเงินทำสัญญาถือเป็นเงินมัดจำตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น บริษัทฯ ต้องคืนเงินมัดจำบางส่วนแก่ผู้บริโภค ส่วนเงินดาวน์จำนวน ๑,๖๑๕,๐๐๐ บาท ถือเป็นการชำระราคาบางส่วน บริษัทฯ ไม่มีสิทธิริบเพราะเหตุที่ผู้บริโภคเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องคืนเงินดาวน์พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายให้แก่ผู้บริโภค การกระทำของบริษัทฯ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงิน จำนวน ๒,๑๕๘,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับบริษัทแห่งหนึ่ง ในราคา ๓,๗๔๐,๐๐๐ บาท โดยชำระเงินจอง ๑๐,๐๐๐ บาท เงินทำสัญญา ๕๐,๐๐๐ บาท และเงินดาวน์ ๓๒๔,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๘๔,๐๐๐ บาท ต่อมาผู้บริโภคได้ยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินแต่ปรากฏว่าไม่ได้รับอนุมัติจึงไม่สามารถผ่อนชำระเงินดาวน์ให้ครบถ้วนตามสัญญาและรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดได้ บริษัทฯ จึงมีสิทธิริบเงินในส่วนนี้ ส่วนเงินดาวน์ จำนวน ๓๒๔,๐๐๐ บาท เป็นการชำระค่าราคาห้องชุดบางส่วน บริษัทฯ จึงต้องคืนเงินดาวน์พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายให้แก่ผู้บริโภค แต่บริษัทฯ พิจารณาคืนเงิน จำนวน ๑๖๒,๐๐๐ บาทคิดเป็น ๕๐% ของเงินดาวน์ หรือ ๔๒.๑๘% ของเงินที่ผู้บริโภคได้ชำระไปแล้วทั้งหมด ซึ่งการกระทำดังกล่าวของบริษัทฯ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงิน จำนวน ๓๒๔,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภค จำนวน ๓ ราย ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุดกับบริษัทแห่งหนึ่งโดยกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดภายในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๖๒ ซึ่งบริษัทฯ ได้โฆษณาว่า มีทาง Sky Walk เชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์หลักสี่ ต่อมาผู้บริโภคพบว่าไม่มีทางดังกล่าวตามที่บริษัทฯ ได้โฆษณาไว้ผู้บริโภคทั้งสามรายจึงมีความประสงค์ขอให้บริษัทฯ คืนเงินให้แก่ผู้บริโภคทั้งหมด อีกทั้งกรณีการขออนุญาตอยู่ในขั้นตอนจากหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นกรณีที่บริษัทฯ ไม่สามารถก่อสร้างทางเชื่อมต่อระหว่างคอนโดไปยังสถานีรถไฟฟ้าอนุสาวรีย์หลักสี่ตามที่ได้โฆษณาไว้ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงต้องคืนเงินที่ริบไว้ทั้งหมดให้แก่ผู้บริโภคทั้งสามรายพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย เมื่อบริษัทฯ ไม่คืนเงินที่ริบไว้ทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายให้แก่ผู้บริโภคทั้งสามราย ดังนั้น การกระทำของบริษัทฯ จึงเป็นการกระทำละเมิดสิทธิผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงินให้ผู้บริโภคทั้งสามราย รวมจำนวน ๒๐๙,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภค ได้ตกลงยกเลิกสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด โดยบริษัทฯ ตกลงคืนเงินให้แก่ผู้บริโภค จำนวน ๑,๐๑๙,๓๒๐ บาท โดยชำระเงินแคชเชียร์เช็คภายในวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๖๓ แต่เมื่อถึงกำหนดดังกล่าว บริษัทฯ ไม่ได้ชำระเงินให้แก่ผู้บริโภคแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัทฯ มีปัญหาทางด้านการเงินและไม่สามารถขายห้องชุดได้เป็นระยะเวลานาน ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการตกลงทำเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้น เมื่อบริษัทฯ ไม่สามารถคืนเงินให้แก่ผู้บริโภคตามบันทึกข้อตกลงได้ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงิน จำนวน ๑,๐๑๙,๓๒๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างกับบริษัทแห่งหนึ่งได้ชำระเงินจอง เงินทำสัญญา และเงินดาวน์ เป็นจำนวน ๓๘๐,๐๐๐ บาท ต่อมาบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างบ้านให้แล้วเสร็จตามสัญญา ทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับอนุมัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินจึงมีหนังสือยกเลิกสัญญา และขอเงินที่ได้ชำระไปแล้วทั้งหมดคืน แต่ปรากฏว่าบริษัทฯ ปฏิเสธการคืนเงินเมื่อบริษัทฯ ไม่สามารถคืนเงินให้แก่ผู้บริโภค จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงิน จำนวน ๓๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน ๖ เรื่อง
กรณีผู้บริโภคได้ซื้อคอร์สเสริมความงามกับบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นเงินจำนวน ๖๔,๐๐๐ บาท เพื่อใช้บริการที่สาขาวงเวียนใหญ่ แต่ปรากฏว่าบริษัทฯ ปิดกิจการสาขาวงเวียนใหญ่ ผู้บริโภคจึงมีความประสงค์ขอยกเลิกสัญญาและขอคืนเงินที่ชำระไปแล้ว กรณีดังกล่าวเมื่อบริษัทฯ ได้รับเงินจากผู้บริโภคครบถ้วนจึงมีหน้าที่ให้บริการแต่เมื่อได้มีการปิดกิจการสาขาที่ผู้บริโภคทำสัญญาและใช้บริการ ดังนั้น เมื่อบริษัทฯไม่สามารถให้บริการผู้บริโภคได้ตามสัญญาและไม่คืนเงินจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภค จำนวน ๕๕,๙๓๔ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาสมัครสมาชิกใช้บริการจองที่พักล่วงหน้ากับบริษัทแห่งหนึ่ง ในราคา ๒๙๐,๐๐๐ บาท หลังทำสัญญาได้ใช้บริการ ๓ ครั้ง ปรากฏว่าได้พักสถานที่พักที่มีระดับต่ำกว่าที่บริษัทฯ ได้นำเสนอในวันทำสัญญา จึงมีความประสงค์ขอคืนเงินที่ได้ชำระไปแล้ว จำนวน ๑๓๒,๙๐๐ บาท เมื่อบริษัทฯ ไม่สามารถให้บริการจองสถานที่พักตามที่ได้มีการโฆษณาไว้ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภค จำนวน ๑๓๒,๙๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ซื้อกำไลฝังเพชรกับร้านแห่งหนึ่งในราคา ๓๐๐,๐๐๐ บาท โดยร้านฯได้มีการออกใบรับประกันสินค้าให้ผู้บริโภคระบุว่าหากนำสินค้ามาเปลี่ยนหรือขายคืน กรณีสินค้าไม่ชำรุดจะหัก ๑๐% ต่อมาผู้บริโภคได้นำสินค้าไปขายคืน แต่ร้านฯ ปฏิเสธไม่รับซื้อคืน เนื่องจากสถานการณ์ภาวะเศรษฐกิจทำให้ไม่สามารถจำหน่ายสินค้าที่รับซื้อคืนได้ ทำให้เกิดภาวะขาดทุนและไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้ ทั้งนี้จากข้อความตามเงื่อนไขของใบรับประกันสินค้า ข้อความในใบรับประกันสินค้าเป็นข้อตกลงส่วนหนึ่งของสัญญาซื้อขายกำไลฝังเพชร ดังนั้น การที่ผู้บริโภคนำสินค้ามาขายคืนตามเงื่อนไขข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญา แต่ผู้ประกอบธุรกิจปฏิเสธไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคมติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งร้านดังกล่าว เพื่อบังคับให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขการรับซื้อสินค้าคืนในกรณีผู้บริโภคนำสินค้ามาขายคืน หากสินค้าไม่ชำรุด จะรับซื้อในราคาหักร้อยละ ๑๐ จากราคาขาย คือ ๒๗๐,๐๐๐ บาท
กรณีผู้บริโภคทำสัญญาว่าจ้างให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่งจัดหาพนักงานดูแลมารดาของผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง ในอัตราค่าจ้างเดือนละ ๑๘,๐๐๐ บาท โดยชำระเงินค่าจ้างล่วงหน้า จำนวน ๑๘,๐๐๐ บาท และค่าเดินทาง ๑,๕๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๑๙,๕๐๐ บาท ในวันจัดส่งพนักงาน หนังสือจัดส่งปรากฏเป็นอีกชื่อหนึ่งรวมถึงพนักงานไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ผู้บริโภคจึงแจ้งเรื่องให้กับห้างฯ ทราบ และห้างฯ ได้จัดส่งพนักงานคนใหม่ไปปฏิบัติงานแทน แต่ไม่สามารถปฏิบัติงานได้ ผู้บริโภคจึงได้แจ้งเรื่องไปยังห้างฯ เพื่อยกเลิกสัญญาและขอเงินคืน จากการเจรจาไกล่เกลี่ยคู่กรณีทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ จึงได้จัดทำบันทึกข้อตกลงหรือสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยห้างฯ ตกลงคืนเงินให้แก่ผู้ผู้บริโภค จำนวน ๑๕,๖๐๐ บาท แบ่งผ่อนชำระออกเป็น ๑๒ งวด งวดละ ๑,๓๐๐ บาท ต่อมาห้างฯ ได้ชำระเงินให้ จำนวน ๕ งวด รวมเป็นเงินจำนวน ๖,๕๐๐ บาท หลังจากนั้นไม่ได้ชำระเงินตามบันทึกข้อตกลง จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งห้างฯ และหุ้นส่วนผู้จัดการ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภคเป็นเงิน จำนวน ๙,๑๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคทำสัญญาว่าจ้างให้บริษัทแห่งหนึ่งกำจัดปลวกโดยใช้ระบบเหยื่อมีค่าบริการเป็นเงิน ๑๑,๐๐๐ บาท ซึ่งผู้บริโภคได้ชำระค่าบริการไปครบถ้วนแล้ว และมีกำหนดระยะเวลาดำเนินการ ๑๒ เดือน ต่อมาบริษัทฯ ได้เข้ามาให้บริการ จำนวน ๒ ครั้ง และหลังจากนั้นไม่ได้เข้ามาให้บริการอีกตามกำหนดระยะเวลาที่ได้ทำไว้ในสัญญา จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภคมติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งบริษัทดังกล่าว เพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภคเป็นเงิน จำนวน ๑๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาว่าจ้างให้บริษัทแห่งหนึ่ง จัดหาพนักงานดูแลผู้ป่วยในอัตราค่าจ้างเดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท ซึ่งผู้บริโภคได้ชำระเงินมัดจำเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท และค่าบริการเป็นเงิน ๒,๕๐๐ บาท รวมเป็นเงินจำนวน๑๗,๕๐๐ บาท ต่อมาผู้ป่วยที่พนักงานของบริษัทฯ ดูแลได้เสียชีวิตลง ผู้บริโภคจึงให้พนักงานแจ้งไปยังบริษัทฯ เพื่อให้คืนเงินมัดจำเป็นเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท แต่บริษัทฯ แจ้งว่าไม่สามารถคืนเงินจำนวนดังกล่าวได้ จากการเจรจาไกล่เกลี่ย ผู้บริโภคได้มีหนังสืออิเล็กทรอนิกส์แจ้งว่า บริษัทฯตกลงคืนเงินมัดจำให้ แต่ขอหักเงินค่าแรงของพนักงานเป็นเงิน ๙๐๐ บาท คงเหลือ ๑๔,๑๐๐ บาท โดยแบ่งชำระออกเป็นจำนวน ๓ งวด ๆ ละ ๔,๗๐๐ บาท ซึ่งผู้บริโภคได้รับชำระเงินงวดแรกจำนวน ๔,๗๐๐ บาทส่วนงวดที่ ๒ และ ๓ ไม่ได้รับการชำระหนี้ตามกำหนดเวลาและไม่สามารถติดต่อบริษัทฯ ได้ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาและเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งบริษัทฯ ดังกล่าว เพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภคเป็นเงิน จำนวน ๙,๔๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
ทั้งนี้ ในการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ ๑/๒๕๖๕ ได้มีการดำเนินคดีแพ่งแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค รวมจำนวน ๑๒ ราย โดยบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจคืนเงินให้แก่ผู้บริโภคเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๖,๑๒๘,๖๕๔ บาท (หกล้านหนึ่งแสนสองหมื่นแปดพันหกร้อยห้าสิบสี่บาทถ้วน)พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย