รมว.พม. เปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมตำบลแห่งแรกของจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมย้ำราชการต้องเปลี่ยนแปลง เน้นประชาชน จิตอาสา ร่วมเป็นคณะทำงาน ช่วยแก้ปัญหาได้รวดเร็ว ทันใจ ตรงจุด

วันที่ 14 ม.ค. 65 เวลา 10.30 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) พร้อม ด้วยนายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายสมชาติ  ประดิษฐพร และนายธีระภัทร พริ้งศุลกะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี และคณะผู้บริหารกระทรวง พม. ลงพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเปิดศูนย์ช่วยเหลือสังคมเทศบาลเมืองท่าข้าม อำเภอพุนพิน ณ ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพผู้สูงอายุ เทศบาลเมืองท่าข้าม ซึ่งเป็นศูนย์ช่วยเหลือสังคมประจำตำบลแห่งแรกของจังหวัดสุราษฎร์ธานี เพื่อเป็นศูนย์กลางในการให้บริการอย่างครอบคลุมตามภารกิจกระทรวง พม. สำหรับการช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเป้าหมายทุกช่วงวัย โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางที่ประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคมและได้รับผลกระทบจากโควิด – 19 ได้แก่ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ด้อยโอกาส โดยบูรณาการการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนและอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ เป็นการป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมในพื้นที่ระดับตำบลแบบครบวงจรอย่างเบ็ดเสร็จที่จุดเดียว (One Stop Service) เพราะปัญหาของประชาชน รอไม่ได้

นายจุติ กล่าวว่า กระทรวง พม. มีกลุ่มเป้าหมายหลากหลายที่ต้องดูแล โดยเราต้องพัฒนาทุนมนุษย์เป็นอันดับแรกและพัฒนาสังคมเป็นอันดับที่สอง ดังนั้น การพัฒนาคนทุกช่วงวัย เราเริ่มตั้งแต่เด็กแรกเกิดจนถึงการเบิกค่าทำศพผู้สูงอายุ วันนี้ มีกลุ่มคนที่มีความลำบากจำนวนเพิ่มขึ้น เช่น คนจน พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว และเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา ฉะนั้น งานของกระทรวง พม. จึงมีภาระหนักขึ้น สำหรับศูนย์แห่งนี้ มีหลายคณะทำงานจึงมีความเป็นราชการสูง แต่ด้วยความตั้งใจในการจัดตั้งศูนย์ เราจะบูรณาการศูนย์แห่งนี้ให้เป็นศูนย์ของประชาชน โดยยึดประโยชน์ของประชาชนเป็นศูนย์กลาง และตั้งใจให้เป็นศูนย์ของประชาชนที่บริหารโดยจิตอาสาของประชาชน ทั้งนี้ ศูนย์แห่งนี้จะเป็นหลักในการรับเรื่องราวร้องทุกข์และแก้ไขปัญหาของประชาชนในทุกมิติในท้องถิ่น ทั้งนี้ เราตระหนักดีว่ามีกฎระเบียบราชการ มีกระบวนการขั้นตอน อาจจะไม่ทันใจ อาจไม่ทันต่อการแก้ไขปัญหาของประชาชน แต่เราจะแก้ไขปัญหาให้รวดเร็วและดีที่สุด

นายจุติ กล่าวต่อไปว่า วันนี้ ประเทศไทยเป็นประเทศมีศักยภาพอย่างมาก เป็นประเทศหนึ่งในมหาอำนาจด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะอาหารไทยเป็นอาหารที่คนทั่วโลกรู้จัก ได้แก่ ต้มยำกุ้ง ผัดไทย และส้มตำ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศอันดับต้นๆ ของโลกที่ผลิตอาหารเหลือและสามารถส่งออกไปต่างประเทศได้ อีกทั้งเป็นประเทศที่ภูมิศาสตร์มีมหาสมุทรทั้งสองฝั่ง มีชัยภูมิที่อยู่ท่ามกลางสี่แยกอินโดจีนของภูมิภาค เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการรบ การผลิตอาหาร และการขนส่ง รวมทั้งเรื่องทางการแพทย์และสุขภาพที่เราสามารถรับมือกับโควิด – 19 ได้ ซึ่งวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก สำหรับจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีศักยภาพอย่างมาก ทั้งอาหารทะเลและวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง ดังนั้น จึงเป็นจังหวัดที่สามารถเป็นศูนย์กลางได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นศูนย์กลางของอาหารนานาชาติ วัฒนธรรม และที่สำคัญคือเป็นศูนย์แห่งการเรียนรู้ธรรมมะได้เป็นอย่างดี เมื่อเราสามารถต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้ เราจะต้องเตรียมพัฒนาคนของเราให้พร้อม ทั้งนี้ กระทรวง พม. จะเป็นส่วนหนึ่งในการเข้ามาช่วยพัฒนาศักยภาพของท่านให้มีอาชีพ มีรายได้ อย่างไรก็ตาม ตนขอฝากศูนย์แห่งนี้ให้เป็นศูนย์ของประชาชนที่ทำงานโดยจิตอาสาของประชาชน และจะเป็นศูนย์ที่ตอบโจทย์ให้ประชาชนได้อย่างรวดเร็วทันใจและตรงจุด

นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนี้ มีการมอบสวัสดิการสังคมต่างๆ เพื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ได้แก่

1) เงินสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชนจังหวัดสุราษฎร์ธานี ปี 2565 จำนวน 62 กองทุน เป็นเงิน 5,103,330 บาท

2) เงินสมทบกองทุนสวัสดิการชุมชนเทศบาลเมืองท่าข้าม จำนวน 395 คน เป็นเงิน 55,695 บาท

3) เงินสงเคราะห์เด็ก จำนวน 26 ราย เป็นเงิน 56,00 บาท และเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุ จำนวน 10 ราย เป็นเงิน 30,000 บาท รวมทั้งมอบเกียรติบัตร อพม. เข้มแข็ง จำนวน 38 ราย

อีกทั้งรับฟังปัญหาและเสนอแนวทางแก้ไขร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ อาทิ อพม. สภาเด็กและเยาวชน กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มสตรี และกลุ่มองค์กรชุมชน และมีการเยี่ยมชมนิทรรศการมีชีวิต จากเครือข่ายศูนย์ช่วยเหลือสังคมเทศบาลเมืองท่าข้าม ได้แก่ กลุ่มสตรี (ไข่เค็ม) กลุ่มผู้สูงอายุ (การสานใบมะพร้าว) สถานคุ้มครองและพัฒนาอาชีพภาคใต้ (สาธิตการทำขนมผกากรอง) เครือข่ายนิคมสร้างตนเองพระแสง(น้ำสมุนไพร ข้าวยำสมุนไพร และของชำร่วย) สภาเด็กและเยาวชน (การแสดงมโนราห์ ห่อหมก และแคบหมู)

 

#########