ประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔

วันจันทร์ที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี(นายอนุชา  นาคาศัย) ประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานในการประชุม คคบ. ครั้งที่ ๑๑/๒๕๖๔ โดยเป็นการประชุมผ่านระบบออนไลน์

จากการประชุม ได้มีมติให้ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จำนวน ๕ เรื่อง  (ประเภทที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ห้องชุดคอนโดมิเนียม เช่าห้องชุด และจ้างก่อสร้างบ้าน) ธุรกิจด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน ๓ เรื่อง (ซื้อคอร์สเสริมความงามคอร์สสปา อู่ซ่อมรถยนต์) ดังนี้

ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์  จำนวน ๕ เรื่อง

กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง กับบริษัทแห่งหนึ่ง ในราคา ๓,๓๕๐,๐๐๐ บาท หลังจากผู้บริโภครับโอนกรรมสิทธิ์บ้านและเข้าอยู่อาศัยพบว่าบ้านเกิดความเสียหาย ต่อมาผู้บริโภคได้ว่าจ้างช่างบุคคลภายนอก ทั้งหมด ๔ ราย เข้าซ่อมแซมความเสียหายบ้านเรียบร้อยแล้ว รวมเป็นเงินจำนวน ๔๒๖,๒๕๐ บาท และค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างวิศวกรผู้ประเมินความเสียหายและหาสาเหตุ เป็นเงินจำนวน ๒๕,๐๐๐ บาท บริษัทฯ จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้บริโภคกรณีบริษัทฯ ก่อสร้างบ้าน ไม่เป็นไปตามแบบที่ยื่นขออนุญาต ซึ่งข้อเท็จจริงได้ทำการก่อสร้างบ้านไม่ได้มาตรฐานตามหลักวิศวกรรมและ ไม่เป็นไปตามแบบจริง ทำให้ผู้บริโภคหลายรายได้รับความเสียหาย สำนักงานฯ จึงดำเนินคดีต่อบริษัท เพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคโดยส่วนรวม และบังคับให้บริษัทฯ ชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้บริโภคกรณีนี้เนื่องจากเข้าข่ายเป็นการกระทำการละเมิดสิทธิผู้บริโภค  มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงินจำนวน ๔๒๖,๒๕๐บาท และค่าใช้จ่ายในการว่าจ้างวิศวกรผู้ประเมินความเสียหายและหาสาเหตุจำนวน ๒๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๔๕๑,๒๕๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด เป็นจำนวนเงิน ๘๑๖,๐๐๐ บาท ต่อมาผู้บริโภคได้ยกเลิกสัญญา เนื่องจากบริษัทฯ ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จภายในกำหนด จึงได้ทำบันทึกข้อตกลงคืนเงินให้แก่ผู้บริโภค เป็นจำนวนเงิน ๘๑๖,๐๐๐ บาท กำหนดผ่อนชำระ จำนวน ๑๐ งวด แต่ปรากฏว่า บริษัทฯ ยังไม่ได้คืนเงินให้แก่ผู้ร้องตามบันทึกข้อตกลง จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงิน จำนวน ๘๑๖,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคทำสัญญาเช่าห้องชุด (สิทธิการเช่า) กับบริษัทแห่งหนึ่ง เพื่อเช่าห้องชุด๑ ห้อง ในราคา ๖,๔๐๘,๕๖๐ บาท เป็นระยะเวลา ๓๐ ปี โดยสามารถต่ออายุได้อีก ๓๐ ปี หรือระยะเวลาสูงสุดตามที่กฎหมายกำหนด ได้ชำระเงินจอง จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท และตกลงแบ่งชำระค่าเช่าห้องชุดเป็น ๓ งวดซึ่งผู้มอบอำนาจชำระค่าเช่าไปแล้ว ๒ งวด เป็นเงิน จำนวน ๔,๔๘๖,๗๙๒ บาท แต่ปรากฏว่าสภาพห้องชุดและโครงการทั้งหมดยังไม่เสร็จเรียบร้อย มีข้อบกพร่องเป็นจำนวนมาก การก่อสร้างตกแต่งโครงการ ทรัพย์ส่วนกลางไม่เป็นไปตามที่โฆษณา และสัญญาแผนผังห้องชุดไม่ถูกต้อง จึงทำหนังสือบอกเลิกสัญญาและขอเงินที่ได้ชำระไปแล้วคืนทั้งหมด แต่บริษัทฯ ปฏิเสธไม่คืนเงินจึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค  มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงิน จำนวน๔,๔๘๖,๗๙๒บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคได้ตกลงทำสัญญาจ้างกับบริษัทแห่งหนึ่ง โดยตกลงว่าจ้างก่อสร้างบ้านทรงโมเดิร์น ในราคา ๑,๔๔๐,๐๐๐ บาท  กำหนดผ่อนชำระ ๕ งวด โดยในงวดที่ ๑ ได้ชำระเงินเป็นเงินค่ามัดจำทำสัญญาว่าจ้างก่อสร้างและออกใบรับประกันเป็นเงิน จำนวน ๔๗,๐๐๐ บาท โดยก่อนทำสัญญาผู้บริโภคและบริษัทฯ ได้ตกลงกันด้วยวาจา หากผู้บริโภคไม่สามารถดำเนินการเรื่องโฉนดที่ดินเพื่อก่อสร้างบ้านตามสัญญาได้ บริษัทฯ จะดำเนินการคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้  ต่อมาผู้บริโภคไม่สามารถดำเนินการเรื่องโฉนดที่ดินเพื่อก่อสร้างบ้านได้จึงติดต่อกลับไปยังบริษัทฯ เพื่อขอยกเลิกสัญญาและขอเงินคืน  แต่ปรากฏว่าถูกบ่ายเบี่ยงไม่คืนเงินให้จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค  มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงิน จำนวน ๔๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด กับบริษัทแห่งหนึ่ง ในราคา ๓,๙๐๐,๐๐๐ บาท โดยชำระเงินไปแล้วทั้งหมดจำนวน ๗๘๐,๐๐๐ บาท ซึ่งตามสัญญาระบุว่า บริษัทฯ จะเริ่มทำการก่อสร้างประมาณไตรมาสสุดท้ายของปี พ.ศ. ๒๕๖๑ แต่ปรากฏว่าปัจจุบันบริษัทฯ ยังไม่ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง  ดังนั้นผู้บริโภคจึงประสงค์ให้บริษัทฯ คืนเงินที่ได้ชำระไปแล้วทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมายซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงว่าบริษัทดังกล่าว ยังไม่ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเป็นอาคารชุด ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด และยังไม่ได้รับอนุญาตให้ก่อสร้างอาคารชุดจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น ซึ่งเป็นการละเลยหน้าที่ในการชำระหนี้ตามสัญญาบริษัทฯ จึงมีพฤติการณ์ที่ปฏิบัติผิดสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงิน จำนวน ๗๘๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านสินค้าและบริการ จำนวน ๓ เรื่อง

กรณีผู้บริโภคได้ซื้อคอร์สเสริมความงามกับบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อใช้บริการ ราคา ๒๕๗,๔๔๐ บาท และใช้บริการไปแล้วบางส่วนยังคงเหลือยอดเงินที่ยังไม่ได้ใช้บริการ จำนวน ๒๑๔,๖๕๐ บาท ต่อมาบริษัทฯ ได้มีการปิดกิจการไม่สามารถใช้บริการได้ตามสัญญา ผู้บริโภคจึงมีความประสงค์ขอยกเลิกสัญญาและขอคืนเงินในส่วนที่ยังมิได้เข้ารับบริการกรณีดังกล่าว บริษัทฯ ได้ปิดกิจการโดยมิได้แจ้งให้ผู้บริโภคทราบล่วงหน้า ไม่มีแนวทางการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นและไปจดทะเบียนเลิกบริษัทฯ โดยไม่แจ้งผู้บริโภคหรือมีแนวทางการคืนเงินถือได้ว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการโดยไม่สุจริต มีพฤติการณ์ฉ้อฉลหลอกลวง จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค  มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้คืนเงิน จำนวน ๒๑๔,๖๕๐บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคซื้อบริการคอร์สสปา กับผู้ประกอบการร้านแห่งหนึ่ง จำนวน ๖๐,๐๐๐ บาท ต่อมาได้มีการเปลี่ยนผู้ประกอบการจึงได้ให้ผู้บริโภคชำระเงินเพิ่ม จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท ปรากฏว่าผู้ประกอบการทั้ง ๒ ราย ไม่สามารถให้บริการได้ตามสัญญา และผู้บริโภคประสงค์ขอคืนเงินในส่วนที่ยังไม่ได้ใช้บริการ จำนวน ๕๑,๖๐๐ บาท ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งเพื่อบังคับให้ร่วมกันรับผิดคืนเงินให้กับผู้บริโภค เป็นเงินจำนวน ๕๑,๖๐๐บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

กรณีผู้บริโภคได้นำรถยนต์ยี่ห้อ BMW รุ่น E30 เข้ารับบริการการซ่อมที่อู่แห่งหนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการซ่อม และของตกแต่งเป็นเงิน จำนวน ๕๔,๑๐๐ บาท และอู่ฯ ได้เปลี่ยนสีรถยนต์จากสีขาวเป็นสีแดงโดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาอู่ฯ ได้ติดต่อมายังผู้บริโภคและตกลงว่าจะคืนเงินให้ จำนวน ๒๗,๐๐๐ บาทโดยขอแบ่งชำระเป็น ๒ งวด งวดละ ๑๓,๕๐๐ บาท แต่ปรากฏว่าอู่ไม่ได้ชำระเงินคืนให้แก่ผู้บริโภคแต่อย่างใด จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค  มติที่ประชุม ดำเนินคดีแพ่งอู่ดังกล่าว เพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภคเป็นเงินจำนวน ๒๗,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย

ทั้งนี้  ในการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ครั้งที่๑๑/๒๕๖๔ ได้มีการดำเนินคดีแพ่งแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค รวมจำนวน ๘ ราย โดยบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจคืนเงินให้แก่ผู้บริโภคเป็นจำนวนเงินรวมทั้งสิ้น ๖,๘๗๔,๒๙๒ บาท (หกล้านแปดแสนเจ็ดหมื่นสี่พันสองร้อยเก้าสิบสองบาทถ้วน)พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย