ลุยไม่หยุด! พ่อเมืองอุบลฯ ยกทัพส่วนราชการ ตรวจเยี่ยม “มหานครแห่ง โคก หนอง นา” ศูนย์สารภีท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ พร้อมประกาศชัด! เป็นต้นแบบการพัฒนาสู่เขตเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่

วันเสาร์ที่ 4 ธันวาคม 2564 เวลา 13.30 น. นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี พร้อมด้วย นางศลิษา ภิรมย์รัตน์ ประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดอุบลราชธานี นายทรงพล วิชัยขัทคะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ในจังหวัดอุบลราชธานี ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานศูนย์เรียนรู้ทุนชุมชนสารภีท่าช้าง และโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” แปลงศูนย์เรียนรู้ระดับตำบล (Community Lab Model for quality of Life : CLM) พื้นที่ 15 ไร่ ในพื้นที่ศูนย์เรียนรู้ทุนชุมชนสารภีท่าช้าง บ้านใหม่สารภี หมู่ที่ 3 ตำบลท่าช้าง อำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี นางสาววิจิตร หลงชิน รักษาราชการแทนพัฒนาการจังหวัดอุบลราชธานี นางกนกอร โพธิ์สิงห์ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมการพัฒนาชุมชน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี นายธนัท ชายทวีป นายอำเภอสว่างวีระวงศ์ พัฒนาการอำเภอ ผู้บริหารองค์การส่วนปกครองท้องถิ่น ผู้นำชุมชน เจ้าหน้าที่จากสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดและอำเภอ คณะกรรมการและสมาชิกศูนย์เรียนรู้ทุนชุมชนสารภีท่าช้าง ร่วมให้การต้อนรับและนำเสนอผลการดำเนินงาน

โดยการลงพื้นที่ในครั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และคณะฯ ได้รับฟังบรรยายสรุปผลการดำเนินงานศูนย์เรียนรู้ทุนชุมชนสารภีท่าช้าง และการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” จากนางยุภา ประจันทร์ นักวิชาการพัฒนาชุมชนชำนาญการ ผู้แทนพัฒนาการอำเภอสว่างวีระวงศ์ รวมถึงได้ปรึกษาหาแนวทางการดำเนินงานร่วมกับ รองผู้ว่าราชการจังหวัด พัฒนาการจังหวัด หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด นายอำเภอสว่างวีระวงศ์ ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนคณะกรรมการศูนย์ฯ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ณ ห้องประชุมศูนย์เรียนรู้ทุนชุมชนสารภีท่าช้าง

โอกาสนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้กล่าวกับที่ประชุมว่า “ศูนย์เรียนรู้ทุนชุมชนสารภีท่าช้าง มีการบริหารจัดการที่ดีอยู่แล้ว อีกทั้งมีแปลงศูนย์เรียนรู้ระดับตำบล (CLM) พื้นที่ 15 ไร่ อยู่ภายในศูนย์ฯ ทำให้เป็นศูนย์เรียนรู้ฯ ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งจังหวัดอุบลราชธานี เป็นจังหวัดที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณจากรัฐบาลในการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” และมีจำนวนแปลงมากที่สุดในประเทศไทย ถึง 4,044 แปลง จนได้รับการขนานนามว่า “มหานครแห่งโคก หนอง นา” หรือ “อาณาจักร โคก หนอง นา” จึงเป็นโอกาสอันดีที่จังหวัดอุบลราชธานี ได้สร้างผลงานระดับประเทศ และเป็นต้นแบบให้กับจังหวัดอื่นๆ ขอให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการฯ ทุกท่าน ได้ร่วมกันบริหารจัดการพื้นที่ให้เกิดผลสำเร็จ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของโครงการฯ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับพี่น้องประชาชนได้อย่างแท้จริง และขอฝากเพิ่มเติมในเรื่องของการจัดจำหน่ายผลผลิตจาก “โคก หนอง นา โมเดล” ให้มีการเชื่อมโยงการตลาดในลักษณะการร่วมมือกันจำหน่ายสินค้า โดยรวบรวมผลผลิตไปออกจำหน่ายที่ตลาดในอำเภอ รวมถึงการหาภาคีเครือข่าย รับและส่งสินค้าออกไปจำหน่ายที่อำเภอใกล้เคียงหรือตลาดในอำเภอเมืองอุบลราชธานี”

หลังจากการฟังการสรุปผลการดำเนินงานฯ แล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และคณะฯ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมแปลงเพาะปลูกใบบัวบกอินทรีย์ ที่เป็นโครงการประสานความร่วมมือระหว่าง บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และมหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จากนั้น ได้เยี่ยมชมฐานพลังงานแสงอาทิตย์ โดยผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี และประธานแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดอุบลราชธานี ได้ทดลองการตากกล้วย พริก และผักขะแยง ในตู้อบพลังงานแสงอาทิตย์ และได้ร่วมกันปลูกพืชผักสวนครัว รวมถึงเก็บเกี่ยวผลผลิต ณ แปลงปลูกผักริมหนองน้ำ อีกทั้งปล่อยปลาในแปลงนาข้าว พร้อมเยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้จำหน่ายผลผลิตจาก “โคก หนอง นา โมเดล” และผู้ประกอบการ OTOP อำเภอสว่างวีระวงศ์ อีกด้วย

ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ยังได้กล่าวเพิ่มเติมในช่วงท้ายอีกว่า “รัฐบาลได้มีแนวทางการขับเคลื่อนแนวทางเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งกระทรวงมหาดไทยมีบทบาทสำคัญในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้แก่ประชาชนตามแนวทางของหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง และเป็นหน่วยงานหลักขับเคลื่อนการพัฒนาเชิงพื้นที่ จึงได้เสนอให้โครงการเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ: Sufficiency Economy Development Zones) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (Bio-Circular-Green Economy : BCG Model) โดยภาครัฐจะได้สนับสนุนการจ้างงาน โครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์พื้นฐาน อำนวยความสะดวกด้านต่างๆ ที่จำเป็น ผ่านกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคส่วนต่างๆในพื้นที่ ภาควิชาการในพื้นที่ร่วมพัฒนาและยกระดับทรัพยากรมนุษย์ ต่อยอดด้วยงานวิจัยและนวัตกรรมที่เหมาะสม โดยมีภาคเอกชนร่วมสนับสนุนการบริหารงานโครงการ วางแผน พัฒนาและต่อยอดผลผลิตต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากความสมบูรณ์ของการพัฒนาพื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อให้เกิดการกระจายความเจริญโดยเฉพาะพื้นที่ที่มีศักยภาพในกรพัฒนา พื้นที่ประสบปัญหาภัยพิบัติซ้ำซาก และใช้โอกาสจากภาคแรงงานที่มีทักษะและศักยภาพที่ประสบกับปัญหาการเลิกจ้างจากสถานการณ์โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่กลับไปยังบ้านเกิดเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาพื้นที่เป้าหมาย ด้วยการให้ความรู้ตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงหรือทฤษฎีใหม่ ควบคู่กับการศึกษาถึงรากเหงาภูมิปัญญาดั้งเดิม และเพิ่มพูนด้วยชุดความรู้ทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมาะสมกับการแก้ไขปัญหาของพื้นที่และภูมิสังคม เพื่อพัฒนาหรือยกระดับเป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียงด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ เพื่อขจัดความยากจน ลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน และเสริมสร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ ภายในปี 2030″

“ถือเป็นโอกาสอันดีที่จังหวัดอุบลราชธานี ได้รับความเมตตาจาก ที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย 2 ท่าน คือ พระพิพัฒน์วชิโรภาส ผู้อำนวยการศูนย์พุทธธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ป่าดงใหญ่วังอ้อ และพระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม ที่ได้ยึดถือและสนับสนุนการดำเนินโครงการ “โคก หนอง นา โมเดล” รวมถึงขับเคลื่อนการพัฒนาสู่เขตเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ของเราอย่างต่อเนื่อง โดยยึดหลัก “บวร” หรือ บ้าน วัด โรงเรียน ราชการ ควบคู่ไปกับภาคีเครือข่ายผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ผมจึงได้กำหนดวาระให้จังหวัดอุบลราชธานี เดินหน้าขับเคลื่อนเขตเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ (BCG Economy Model) เพื่อขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืน พร้อมรับมือภัยพิบัติน้ำท่วมน้ำแล้ง โดยขอให้หัวหน้าส่วนราชการระดับจังหวัด และเจ้าหน้าที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกคน ได้บูรณาการความร่วมมือของส่วนราชการ หน่วยงาน ทุกภาคส่วน ในการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ ตามแนวทางของรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทย โดยน้อมนำศาสตร์พระราชา สู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งจะเป็นฟันเฟืองที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนโครงการและนโยบายดังกล่าวให้ประสบผลสำเร็จ สามารถเป็นต้นแบบระดับประเทศ ซึ่งเป็นการต่อยอดผลสำเร็จจากการดำเนินงานโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” ของกรมการพัฒนาชุมชน รวมถึงแปลง “โคก หนอง นา โมเดล” แปลงศูนย์เรียนรู้ทุนชุมชน (ศูนย์สารภีท่าช้าง) แห่งนี้ ก็ถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายในการพัฒนาให้เป็นศูนย์เรียนรู้ตามโครงการฯ อย่างครบวงจรด้วย”

สำหรับศูนย์เรียนรู้ทุนชุมชน (ศูนย์สารภีท่าช้าง) ตั้งอยู่ที่ บ้านใหม่สารภี หมู่ที่ 3 ตำบลท่าช้าง อำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี จัดตั้งเมื่อปี 2518 โดยกรมการพัฒนาชุมชน ได้รับบริจาคที่ดินทั้งหมด 50 ไร่ 2 งาน 57 ตารางวา ต่อมาในปี พ.ศ. 2519 ได้จัดสรรงบประมาณสร้างอาคารฝึกอบรมและมีเจ้าหน้าที่ดูแล ตั้งอยู่ในเขตบ้านใหม่สารภี หมู่ที่ 3 ตำบลท่าช้าง อำเภอสว่างวีระวงศ์ จังหวัดอุบลราชธานี และเมื่อปี 2556 สำนักพัฒนาทุนและองค์กรการเงินชุมชน ได้เป็นผู้รับผิดชอบในการดำเนินงานร่วมกับสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี และสำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอสว่างวีระวงศ์ และได้มอบหมายให้จัดทำแผนพัฒนาพื้นที่ แผนผังการใช้ศูนย์สารภี และจัดตั้งคณะกรรมการบริหารและระเบียบข้อบังคับของศูนย์ฯ เพื่อใช้ประโยชน์ในการเป็นศูนย์เรียนรู้ทุนชุมชน ตลอดจนสนับสนุนงบประมาณในการดำเนินงาน ต่อมาในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 กรมการพัฒนาชุมชนได้มีนโยบายให้ศูนย์ฯ ดำเนินการปรับพื้นที่เป็นศูนย์เรียนรู้โครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบ การพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา กรมการพัฒนาชุมชน” และมีกิจกรรมต่อเนื่องเพื่อให้เป็นต้นแบบแก่ชุมชนอื่น

ปัจจุบัน ศูนย์เรียนรู้ทุนชุมชน (ศูนย์สารภีท่าช้าง) นอกจากจะเป็นศูนย์ฝึกอบรมโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิต ตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา กรมการพัฒนาชุมชน” แล้ว ยังมีฐานเรียนรู้จำนวน 20 ฐาน ประกอบด้วย ฐานเรียนรู้เดิม 10 ฐาน ได้แก่ ฐานเรียนรู้เพาะเห็ดนางฟ้า ปลูกผักสวนครัว พุทราสามรส นวดแผนไทย การปลูกข้าว เลี้ยงปลาหมอไทย เลี้ยงไก่ ทอเสื่อ ปลูกดาวเรือง ปลูกแก้วมังกร และฐานเรียนรู้ “โคก หนอง นา กรมการพัฒนาชุมชน” ที่มีการอบรมในศูนย์ฯ จำนวน 10 ฐาน ได้แก่ ฐานการเรียนรู้คนรักษ์แม่ธรณี คนเอาถ่าน คนมีน้ำยา คนมีไฟ คนรักษ์สุขภาพ คนหัวเห็ด คนรักษ์แม่โพสพ คนรักษ์น้ำ คนรักษ์ป่า คนรักษ์ดิน ทั้งนี้ ยังได้ดำเนินการพัฒนาพื้นที่ เพื่อเป็นแปลงสาธิตในพื้นที่เพิ่มเติม ได้แก่ แปลงมัลเบอรี่ แปลงผักกูด โรงเลี้ยงแพะ สวนกล้วย ธนาคารเมล็ดพันธุ์ผัก แปลงเกษตรพันธุกรรมพืชสมุนไพรพื้นบ้าน เป็นต้น

#WorldSoilDay
#GlobalSoilPartnership
#UNFAO
#CDD
#SEPtoSDGs
#SDGforAll@Kmitl
#กรมการพัฒนาชุมชน

อุบลราชธานี เมืองดอกบัวงาม แม่น้ำสองสี : งานประชาสัมพันธ์ สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี ..ภาพข่าว/รายงาน