สกสว. เผยผลการดำเนินตามแผนวิจัยโปรแกรมที่ 17 แก้วิกฤติโควิด 19 พร้อมเดินหน้าแผนวิจัยแก้ปัญหาเร่งด่วนอื่น

สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.)  เผยผลการดำเนินตามแผนวิจัยโปรแกรมที่ 17 หลังเกิดวิกฤติโควิด 19 ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563  ภายใต้การทำงานของ สกสว. และหน่วยบริหารจัดการทุน (พีเอ็มยู) พร้อมเดินหน้าแผนวิจัยแก้ปัญหาที่สอดรับกับสถานการณ์ปัจจุบัน และปัญหาเร่งด่วนอื่นของประเทศ

ศ.ดร.ปิยะวัติ บุญ-หลง ประธานกรรมการอำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) เป็นประธานเปิดการประชุมคณะกรรมการอำนวยการ สกสว. ครั้งที่ 12/2564 ผ่านระบบการประชุมออนไลน์ เพื่อหารือความคืบหน้าในการดำเนินงานด้านต่างๆ ของ สกสว.   รวมถึงผลการดำเนินงานตามแผนงานการวิจัยภายใต้โปรแกรมที่ 17 แก้ปัญหาวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ  หลังเกิดวิกฤติ    โควิด 19 ในประเทศไทย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2563  ภายใต้การจัดสรรงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ววน.) ของ สกสว.และการดำเนินงานของหน่วยบริหารจัดการทุน (พีเอ็มยู)

รศ.ดร.ปัทมาวดี โพชนกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) กล่าวให้ข้อมูลว่า  คณะกรรมการส่งสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (กสว.)  มีมติในการประชุม กสว. ครั้งที่ 4/2563 เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2563 อนุมัติให้มีการเพิ่มโปรแกรมการแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศ เป็นโปรแกรมที่ 17 ภายใต้แผนด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เพื่อแก้ปัญหาวิกฤติขนาดใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อใช้ความรู้ การวิจัยและนวัตกรรม คาดการณ์ปัญหา จัดการกับภาวะวิกฤติของประเทศได้อย่างทันท่วงที  ช่วยลดความเสียหายและบรรเทความเสียหายในระยะสั้น และเพื่อให้มีการเตรียมการที่ดี สามารถบริหารจัดการประเทศและสังคมหลังภาวะวิกฤติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมุ่งให้ความสำคัญกับการวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงและการแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศที่เป็นปัญหาเร่งด่วน ทำให้ประเทศไทยมีความสามารถในการจัดการและฟื้น ตัวอย่างมีประสิทธิภาพ (Resilience) มีศักยภาพในการพึ่งตนเองด้านความรู้ กำลังคนและโครงสร้างพื้นฐานด้าน ววน. โดยในส่วนของการบริหารทุนวิจัยและนวัตกรรมโควิด 19 นั้น มีการวางเป้าหมายระดับประเทศไว้ ประกอบด้วย

(1) วางประเด็นวิจัยสำคัญและเร่งด่วน

(2) สร้างความเข้มแข็งในการพัฒนางานวิจัยและนวัตกรรมให้พร้อมต่อการนำไปใช้ประโยชน์

(3) มีมาตราการเชิงรุกเข้าสู่หน่วยงานภาคปฏิบัติและหน่วยงานการใช้ประโยชน์

(4) การแก้ปัญหาเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์ให้พร้อมรองรับสถานการณ์โควิด 19

(5) ผลสำเร็จของงานวิจัย มีผลกระทบต่อสังคม เศรษฐกิจ และสุขภาพของประเทศ

โดยมีกลไกการบริหารงานวิจัยและนวัตกรรม ทั้งหมด 3 ชุด ได้แก่ คณะทำงานขับเคลื่อนการวิจัยและนวัตกรรม ประเด็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019, คณะทำงานร่วมดำเนินการหน่วยบริหารจัดการทุนวิจัยและนวัตกรรม ประเด็นปัญหาวิกฤติสำคัญของประเทศ และคณะกรรมการดำเนินงานสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม ประเด็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

ทั้งนี้ในช่วงปีพ.ศ. 2563 – 2564 ที่ผ่านมา  มีผลงานด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ที่ช่วยแก้ปัญหาวิกฤติโควิด 19   ที่นำไปสู่การใช้ประโยชน์จริงทั้ง  งานวิจัยด้านเวชภัณฑ์เพื่อวินิจฉัยและรักษา งานวิจัยด้านการป้องกันควบคุมและการดูแลรักษาผู้ป่วย  งานวิจัยด้านวัคซีนต้านไวรัส งานวิจัยด้านการระบาดวิทยาและเชื้อไวรัส รวมถึง งานวิจัยด้านสังคมและเศรษฐกิจ อาทิ  หน้ากากอนามัย ชุดป้องกันเชื้อโรคสำหรับบุคลากรทางการแพทย์  ห้องความดันติดลบแบบเคลื่อนย้ายได้ ห้องแยกผู้ป่วยที่แพร่กระจายเชื้อทางอากาศแบบถอดประกอบได้ อุปกรณ์ Smart Pulz Platform การดูแผู้ป่วยออนไลน์สำหรับโรงพยาบาล      การสังเคราะห์มาตรการและนโยบายของรัฐบาล เพื่อลดการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด19    งานวิจัยวัคซีน ChulaCov19 การถอดรหัสพันธุกรรม SARS-Cov-2  และการพัฒนาแบบจำลองบูรณาการระบบการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เป็นต้น  นอกจากนี้ในปีงบประมาณ 2564  สำนักงานพัฒนาการวิจัยการเกษตร (องค์การมหาชน)  หรือ สวก.  ในฐานะหน่วยบริหารและจัดการทุน (พีเอ็มยู) และองค์กรที่มีพันธกิจ ส่งเสริมสนับสนุนและพัฒนาการวิจัยการเกษตร  ยังได้เสนอเพิ่มแผนงานใหม่  “แผนงานการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาเร่งด่วนจากการระบาดโรคในสัตว์เศรษฐกิจที่สำคัญ กรณี โรคลัมปีสกิน” ภายใต้โปรแกรม 17 การแก้ปัญหาวิกฤติของประเทศ พร้อมขอรับงบประมาณเพิ่มเติมระหว่างปี (Reprogramming) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 และได้รับการอนุมัติจาก กสว. แล้วในการประชุม กสว. ครั้งที่ 10/2564  เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา

โดยในที่ประชุมวันนี้ คณะกรรมการได้ให้ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ถึงแนวทางการจัดแผนงานการวิจัยภายใต้โปรแกรมที่ 17 แก้ปัญหาวิกฤติเร่งด่วนของประเทศ  โดยมุ่งเน้นการทำงานแบบคาดการณ์อนาคต ให้ครอบคลุมและสร้างความพร้อมกับประเทศ เพื่อให้แผนวิจัยดังกล่าว มีความยืดหยุ่นและปรับให้สอดคล้องกับการแก้ปัญหาต่างๆอย่างทันท่วงที ดังเป้าประสงค์ที่ออกแบบไว้แต่แรก