วันที่ 23 พฤศจิกายน 2564 เวลา 16.00 น. นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี มอบหมายให้ นายทรงพล วิชัยขัทคะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี เป็นลงพื้นที่เพื่อวางแผนและสำรวจพื้นที่ขับเคลื่อนแนวทางเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ของจังหวัดอุบลราชธานี ณ iOrganic farm แปลงโคก หนอง นา โมเดล บ้านหนองแก ตำบลแจระแม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี โดยมี ผู้แทนนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดอุบลราชธานี นักวิชาการพัฒนาชุมชน สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี คณาจารย์จากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีอุบลราชธานี คณะกรรมการบริษัทประชารัฐรักสามัคคีอุบลราชธานี (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ในฐานะคณะทำงานพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) ทีมงานสื่อสร้างสุข ทีมงานกินสบายใจ กลุ่มเกษตรอินทรีย์ตำบลแจระแม และคณะทำงานจากศูนย์พุธธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ป่าดงใหญ่วังอ้อ ร่วมให้การต้อนรับและสนับสนุนการดำเนินงานในครั้งนี้
โครงการพัฒนาอาหารปลอดภัยด้วยเกษตรอินทรีย์อย่างยั่งยืน เพื่อสุขภาวะที่ดีและเตรียมรับมือกับภัยพิบัติ จังหวัดอุบลราชธานี (โครงการกินสบายใจ) มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาห่วงโซ่อาหารปลอดภัยด้วยเกษตรอินทรีย์ โดยการส่งเสริมเกษตรอินทรีย์ พัฒนากระบวนการรับรองมาตรฐาน PGS กินสบายใจ การเปิดตลาดนัดสีเขียวกินสบายใจ และพัฒนารูปแบบการจัดซื้อผลผลิตอินทรีย์ในองค์กรร่วมกับภาครัฐ เช่น โรงพยาบาล 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ, โรงพยาบาลมะเร็งอุบลราชธานี, ตลาดประชารัฐรักสามัคคี โดยสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี และภาคเอกชน เช่น ห้างสรรพสินค้าสุนีย์, บริษัทโตโยต้าดีเยี่ยมจำกัด โดยมีการพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social enterprise) “กินสบายใจช็อป” เพื่อเป็นตัวกลางในการกระจายผลผลิตอินทรีย์ และเชื่อมประสาน บริหารจัดการระหว่างเกษตรกรและองค์กร การส่งเสริมการบริโภคผักผลไม้อินทรีย์ร่วมกับ 10 องค์กรอาหารปลอดภัยด้วยเกษตรอินทรีย์ และ 29 โรงเรียนกินสบายใจ และมีงานเทศกาลกินสบายใจ ห่างไกลโรคประจำปี เพื่อรณรงค์และสื่อสารสาธารณะ ผลการดำเนินงานร่วมกับทุกภาคส่วน
ซึ่งในวันนี้ ถือเป็นการมาเยี่ยมชมแปลง iOrganic farm แปลงโคก หนอง นา โมเดล บ้านหนองแก ตำบลแจระแม อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ของคุณพรรณี เสมอภาค ประธานคณะกรรมการ PGS กินสบายใจ ซึ่งได้เปิดเผยว่า “ในอดีตตนเองนั้นเคยทำนาเพียงอย่างเดียว แต่ปัจจุบันผันมาทำเกษตรกรอินทรีย์ด้วย ซึ่งในปี 2562 โชคไม่ดีเจอเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่นาข้าวเสียหาย และต่อมาฝนก็แล้งผิดปกติ ซึ่งจากเหตุการณ์ต่างๆจะเห็นได้ว่าสภาพอากาศมีการเปลี่ยนแปลงที่ผกผัน เกษตรกรต้องปรับตัวรู้จักการออกแบบฟาร์มให้สอดคล้องกับระบบนิเวศและปลูกพืชให้หลากหลาย ซึ่งต้องรู้จัก
1)ต้องประเมินความเสี่ยงของตัวเอง
2)ลดหรือป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
3)กระจายความเสี่ยง พร้อมประเมินข้อมูลสภาพอากาศ น้ำท่วม ฝนแล้ง โรคระบาด เปลี่ยนพื้นที่นาผสมสานเข้ากับทำสวนอย่างหลากหลาย”
ขณะที่ นายทรงพล วิชัยขัทคะ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ได้นำเสนอและแนะนำแนวทางในการขับเคลื่อนโครงการเขตเศรษฐกิจพอเพียง หรือ Sufficiency Economy Development Zones for Sustainable Development Goals (SEDZ for SDGs) โดยขยายผลจากโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” ในในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งต้องขอความร่วมมือจากทั้งส่วนราชการและภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน อย่างเช่นทุกท่านในวันนี้ เพื่อช่วยเหลือและหาแนวทางในการนำผลผลิตจาก “โคก หนอง นา โมเดล” ซึ่งเป็นผลผลิตปลอดสารพิษและอาหารปลอดภัย เชื่อมโยงกับวาระแห่งชาติเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green Economy) หรือ BCG ตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงจัดหาตลาดให้แก่ผู้ที่สนใจเข้าร่วมจำหน่ายสินค้า ผลผลิตจากเกษตรอินทรีย์และอาหารปลอดภัย ร่วมกับคณะทำงานด้านพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) ที่เดินทางมาในวันนี้ด้วย
จังหวัดอุบลราชธานี ถือเป็นจังหวัดที่มีความก้าวหน้าในการขับเคลื่อนแนวทางเขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ เนื่องจากในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี และได้รับงบประมาณจากรัฐบาลให้ขับเคลื่อนโครงการพัฒนาพื้นที่ต้นแบบการพัฒนาคุณภาพชีวิตตามหลักทฤษฎีใหม่ ประยุกต์สู่ “โคก หนอง นา โมเดล” มากถึง 4,044 แปลง ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่ที่สามารถพัฒนาสู่เขตพัฒนาเศรษฐกิจพอเพียง (SEDZ) ด้วยโมเดลเศรษฐกิจใหม่ และได้รับความเมตตาในการเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนงานดังกล่าว จากที่ปรึกษาปลัดกระทรวงมหาดไทย ทั้ง 2 ท่าน คือ พระปัญญาวชิรโมลี เจ้าอาวาสวัดป่าศรีแสงธรรม และพระพิพัฒน์วชิโรภาส ผู้อำนวยการศูนย์พุทธธรรมสมเด็จพระมหาธีราจารย์ ป่าดงใหญ่วังอ้อ ซึ่งเป็นผู้ที่ทำให้การขับเคลื่อนและขยายผลการงานมีความก้าวหน้าได้อย่างรวดเร็ว ตามหลัก “บวร” หรือบ้าน วัด โรงเรียน ราชการ ทำให้จังหวัดอุบลราชธานี มีความโดดเด่นในการขับเคลื่อนงานพัฒนาชุมชนจนเป็นต้นแบบในการดำเนินงานไปทั่วประเทศ โดยมีคณะทำงาน 7 ภาคี ได้มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมสนับสนุนโครงการฯ และกิจกรรมดังกล่าว ร่วมกับคณะทำงานเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ (E3) ส่วนราชการและภาคีเครื่อข่ายที่เกี่ยวข้องได้อย่างเป็นรูปธรรม ตามนโยบายรัฐบาล และแนวทางของกระทรวงมหาดไทย ต่อไป