วันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 เวลา 10.00 น.ภายใต้การอำนวยการของนายชาธิป รุจนเสรี ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม มอบหมายให้นายสุรพล แก้วอินธิ พัฒนาการจังหวัดนครพนม พร้อมทีมงานสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครพนม ร่วมกับนางสาวณัฐนิช อินทสระ ผู้อำนวยการกลุ่มงานส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น กรมการพัฒนาชุมชน พร้อมทีมงานลงพื้นที่เยี่ยมชมให้กำลังใจและจัดเก็บข้อมูลประวัติความเป็นมากลุ่มทอผ้าไหมกลุ่มแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง โดยมี นางชลธิชา มาตรรักษ์ เจ้าพนักงานพัฒนาชุมชนชำนาญงาน สำนักงานพัฒนาชุมชนอำเภอนาหว้า พร้อมด้วยนางวงเดือน อุดมเดชาเวทย์ หัวหน้าศูนย์ศิลปาชีพอำเภอนาหว้า และสมาชิกกลุ่มฯ ร่วมต้อนรับและให้ข้อมูลผลการดำเนินงานของกลุ่มฯ ณ ศูนย์หัตถกรรมวัดธาตุประสิทธิ์ ตำบลนาหว้า และกลุ่มแม่บ้านทอผ้าไหมบ้านท่าเรือ ตำบลท่าเรือ อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม
นายสุรพล แก้วอินธิ พัฒนาการจังหวัดนครพนม ได้ร่วมให้ข้อมูลและสรุปผลการดำเนินงานซึ่งจากการสืบสานอนุรักษ์ภูมิปัญญาผ้าไทย ทำให้คนทอผ้าในพื้นที่จังหวัดนครพนม ซึ่งเดิมทอผ้าในบ้านเรือนตนเองได้รวมกันเป็นกลุ่มจัดตั้งเป็นกลุ่มอาชีพ มีการต่อยอดภูมิปัญญา รักษาอัตลักษณ์ของพื้นถิ่น เป็นอาชีพหลักของครอบครัวและชุมชน สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้อย่างยั่งยืน ปัจจุบันจังหวัดนครพนม มีกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการประเภทผ้าและเครื่องแต่งกาย จำนวน 376 กลุ่ม/ราย สมาชิกรวม 4,310 คน รายได้มากกว่า 360,000,000 บาท/ปี มีการพัฒนาต่อยอดภูมิปัญญาผ้าไทยอย่างต่อเนื่อง จังหวัดนครพนม มีการขับเคลื่อนการทำงานในรูปแบบประชารัฐ 7 ภาคี มีการทำ MOU 73 หน่วยงานภาคี รณรงค์การใช้และสวมใส่ผ้าไทย มีการต่อยอด พัฒนายกระดับผู้ประกอบการประเภทผ้า งบบูรณาการ งบพัฒนาจังหวัด และงบเงินอุดหนุนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี พัฒนากลไกความร่วมมือกับภาคเอกชน จับคู่ธุรกิจกับ THORR, ธิญาดา, ประชารัฐ สร้างนักการตลาดรุ่นใหม่ และ Young Desingner กว่า 20 คน ขยายผลสู่โรงเรียน ประชาสัมพันธ์เรื่องราวผ้าพื้นเมืองทาง E-cattalog สื่อสารมวลชน NBT, Thai BPS และสื่อท้องถิ่น เกิดการสร้างงาน/อาชีพ/รายได้แก่ผู้ผลิตสินค้าชุมชน ผู้ประกอบการ OTOP ช่วยบรรเทาความเดือดร้อน ช่วยเหลือกลุ่มผู้ผลิต ผู้ประกอบการ OTOP ในช่วงการแพร่ระบาดของโรคไวรัสโคโรนา-2019 อีกทั้งในปี 2564 ที่ผ่านมามีการดำเนินกิจกรรม “ผ้าไทยใส่ให้สนุก”ตามพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา และส่งเสริมและสนับสนุนการใช้และสวมใส่ผ้า มีผู้ประกอบการนำลายผ้าพระราชทาน“ผ้ามัดหมี่ลายขอเจ้าฟ้าสิริวัณณวรีฯ” ไปเป็นต้นแบบ จำนวน 137 กลุ่ม/ราย มีรายได้จากการจำหน่ายผ้าลายพระราชทานกว่า 15,243,500 บาท และยอดสั่งซื้ออย่างต่อเนื่อง รายได้เพิ่มขึ้นไม่น้อยกว่า 10% นอกจากนี้ยังมีการส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบเสื้อผ้าไทยให้ทันสมัย สามารถสวมใส่ได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกโอกาส และส่งเสริมการขายผ่านช่องทางออนไลน์ เพจ Facebook Line อื่นๆ ให้แก่กลุ่มผู้ประกอบการ ภายใต้กิจกรรม “คนรุ่นใหม่หัวใจคือชุมชน” อีกทั้งยังช่วยผู้ที่ประสบปัญหาจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา-2019 ที่ตกงานกลับมาอยู่บ้าน ได้หันมาประกอบอาชีพในพื้นถิ่น มาเป็นเป็นช่างแปรรูปผ้า ช่างตัดเย็บเสื้อผ้าให้กลุ่ม OTOP เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้กลุ่มผู้ประกอบการชุมชนทั้งออนไลน์และออฟไลน์ บางคนมาเรียนรู้การทอผ้ากับกลุ่มทอผ้าเพื่อเป็นอาชีพหลัก ถือได้ว่าเป็นการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาของคนไทย เกิดรายได้สู่ชุมชน กระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ กลุ่มทอผ้าในพื้นที่จังหวัดนครพนม และชาวจังหวัดนครพนม ที่ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง รวมถึงเครือข่ายงานพัฒนาชุมชนของจังหวัดนครพนม ได้เริ่มดำเนินโครงการเพื่อเป็นการปฏิบัติบูชาเนื่องในโอกาสก้าวสู่ ปีที่ 60 การก่อตั้งกรมการพัฒนาชุมชน ได้จัดทำโครงการตามรอยกลุ่มทอผ้าไหมกลุ่มแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งกำหนดดำเนินการในวันที่ 4 ธันวาคม 2564 ณ วัดธาตุประสิทธิ์ ตำบลนาหว้า อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม
นางวงเดือน อุดมเดชาเวทย์ หัวหน้าศูนย์ศิลปาชีพอำเภอนาหว้า กล่าวว่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2515 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และพระเจ้าลูกยาเธอทั้งสองพระองค์ ได้เสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินต้น ที่วัดธาตุประสิทธิ์ หมู่ที่ 4 ตำบลนาหว้า ได้มีราษฎร จำนวน 6 คน รอรับเสด็จและทูลเกล้าถวายผ้าไหม เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทอดพระเนตรผ้าไหม ก็รู้สึกพอพระราชหฤทัยเป็นอย่างมาก เนื่องจากผ้าไหมมีลวดลายสวยงาม และเป็นเอกลักษณ์แบบพื้นบ้าน ต่อมาเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2515 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ทรงมีรับสั่งให้ท่านผู้หญิงสุประภาดา เกษมสันต์ ณ อยุธยา ราชเลขานุการในสมเด็จฯ พร้อมด้วยราชองครักษ์ พ.ต.ท.วิศิษฐ์ เดชกุญชร ณ อยุธยา (ยศขณะนั้น) มาพบราษฎร 6 คน ที่ถวายผ้าไหมในคราวนั้น (เมื่อวันที่ 13พฤศจิกายน 2515) ให้ทอผ้าไหมเพิ่มขึ้น แล้วนำทูลเกล้าถวายอีกคนละ 6 ผืน เมื่อได้ทอดพระเนตรผ้าไหมก็พอพระราชหฤทัย เป็นยิ่งนัก รับสั่งให้ราษฎรทอผ้าไหมเพิ่มจำนวนมากขึ้น แล้วนำทูลเกล้าฯ ถวายเป็นประจำทุกปี ต่อมาปี พ.ศ.2520 พระองค์ท่านได้มีรับสั่งให้จัดตั้งกลุ่มทอผ้าไหมบ้านนาหว้า เป็น “มูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพพิเศษ ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์”ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มทอผ้าไหมบ้านนาหว้า บ้านนาคูณใหญ่ บ้านท่าเรือ บ้านนางัว บ้านนาคอย และบ้านโคกสะอาด อำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม กลุ่มทอผ้าไหมบ้านเซียงเซา บ้านหนองนกทา อำเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม และเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2541 สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีรับสั่งให้ท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ ฑีขะระ รองราชเลขานุการ ได้ตั้งชื่อกลุ่มทอผ้าไหมอำเภอนาหว้า ชื่อ “กลุ่มทอผ้าไหมกลุ่มแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ”(13 พฤศจิกายน 2515) ได้ชื่อนี้เพราะอำเภอนาหว้า เป็นกลุ่มแรกของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพของประเทศไทย สมาชิกกลุ่มทอผ้าไหมอำเภอนาหว้า จังหวัดนครพนม ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ในปี2564 ได้จัดทำโครงการทอผ้าไหมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลที่ทรงเจริญพระชนมพรรษา ครบ 90 พรรษา โดยทอผ้าไหมจำนวนหนึ่งผืน ความยาว 92 เมตร ทอด้วยลายโบราณ เป็นผ้าชุดๆ ละ 4 เมตร ประกอบด้วย ผ้ามัดหมี่ลายตาสับปะรด ผ้าพื้นสีฟ้า จำนวน 9 ชุด ๆ ละ 4 เมตร รวม 36 เมตร ,ผ้ามัดหมี่ลายหมากจับ ผ้าพื้นเหลือง จำนวน 7 ชุด ๆ ละ 4 เมตร รวม 28 เมตร และผ้ามัดหมี่ลายโคมห้า ผ้าพื้นสีม่วง จำนวน 7 ชุด ๆ ละ 4 เมตร รวม 28 เมตร