สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย แถลงข้อเท็จจริงผลกระทบของผลิตภัณฑ์บุหรี่ต่อสังคมและสุขภาพ เผยคนไทยตายจากบุหรี่ 7 หมื่นราย/ปี ตายจากโรค NCDs เกือบ 4 แสนราย/ปี

สสส. – สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย แถลงข้อเท็จจริงผลกระทบของผลิตภัณฑ์บุหรี่ต่อสังคมและสุขภาพ เผยคนไทยตายจากบุหรี่ 7 หมื่นราย/ปี ตายจากโรค NCDs เกือบ 4 แสนราย/ปี แพทย์ชี้บุหรี่ไฟฟ้าชวนเริ่มไม่ช่วยเลิก ห่วงเด็ก-สตรี กลุ่มเสี่ยงถูกล่อลวง พร้อมชวนเช็ก “สุขภาวะปอด” วันถุงลมโป่งพองโลก

วันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 ที่ โรงแรมอโนมา แกรนด์ กรุงเทพฯ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย (Association of Thai NCD Alliance) จัดงานแถลงข่าวและเสวนา หัวข้อ “ข้อเท็จจริงและผลกระทบของผลิตภัณฑ์บุหรี่ต่อสังคมและสุขภาพในมุมมองแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ” เนื่องในวันถุงลมโป่งพองโลก ซึ่งตรงกับวันที่ 17 พฤศจิกายน โดยคำขวัญสากลประจำปีนี้ คือ “Healthy Lungs: Never More Important” หรือ “สุขภาวะปอด ยากนักให้ใส่ใจเยี่ยงนี้”

ศ.เกียรติคุณ พญ.วรรณี นิธิยานันท์ นายกสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ยาสูบล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Diseases : NCDs) เป็นปัญหาระดับโลกที่คุกคามสุขภาพส่งผลกระทบถึงการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ขณะที่ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ปี 2561 พบว่า คนไทยมีอัตราเสียชีวิตจากโรค NCDs ราวปีละ 398,860 คน หรือ 74% ของการเสียชีวิตทั้งหมด ขณะที่ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่า ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ตั้งแต่เดือนมกราคม 2563 – 13 กันยายน 2564 มีผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 จำนวน 14,485 คน ในจำนวนนี้ป่วยด้วยโรค NCDs 9,705 คน หรือ 67% ของผู้เสียชีวิตจากโควิด-19 ทั้งนี้ โรค NCDs เป็นโรคเรื้อรังที่ต้องรับการรักษาต่อเนื่องมีค่าใช้จ่ายดูแลรักษาสูง ส่งผลกระทบต่อสมรรถภาพการทำงาน สุขภาวะ และคุณภาพชีวิตของบุคคล รวมทั้งเศรษฐกิจของครัวเรือนและประเทศ

รศ.นพ.สมบัติ มุ่งทวีพงษา เลขาธิการสมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย กล่าวว่า ข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า ในปี 2561 ประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากบุหรี่ปีละกว่า 7 หมื่นราย พบนักสูบหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชนเพิ่มขึ้น ตั้งแต่อายุ 10 ปีขึ้นไป ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจรวมทั้งหมดปีละ 220,461 ล้านบาท ขณะที่รัฐจัดเก็บรายได้จากภาษีบุหรี่ได้ 68,603 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องควันบุหรี่มือสอง ที่เป็นอันตรายต่อร่างกายหากผู้อยู่อาศัยสูดดมเข้าไป และบุหรี่มือสาม ซึ่งเป็นสารตกค้างที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมหากมีการสัมผัสบ่อย เช่น สิ่งของ เสื้อผ้า

รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการศูนย์คุณธรรม (องค์การมหาชน) กล่าวว่า ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุแนวโน้มการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า (electronic cigarette) ในสหรัฐอเมริกาของกลุ่มเด็กเยาวชน ปี 2562 พบว่า การใช้บุหรี่ไฟฟ้าในนักเรียนมัธยมต้นเท่ากับ 5.3% มัธยมปลายเท่ากับ 16% รวมแล้วมีนักเรียนมัธยมสูบบุหรี่ไฟฟ้าถึง 3 ล้านคน ขณะที่ผู้ใหญ่ที่อายุเกิน 25 ปี มีเพียง 3.7% เท่านั้น แสดงให้เห็นว่า บริษัทผู้ผลิตบุหรี่ไฟฟ้าพุ่งเป้าการตลาดไปที่เด็กและเยาวชน ซึ่งนิโคตินเป็นอันตรายต่อสมองที่กำลังเจริญเติบโตของวัยรุ่น ทำให้เกิดความไม่สมดุลของสารในสมอง สมองจะมีความรู้สึกโหยหาในลักษณะ “เข้าถึง ติดง่าย ฝังลึก ถึงยีน” ยิ่งยุคนี้วัยรุ่นเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่าย โดยเฉพาะในออนไลน์ ทั้งที่เป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่มีการโฆษณาส่งเสริมการขายในสื่อออนไลน์อย่างกว้างขวาง ด้วยการอ้างว่าบุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัย มีแต่ไอน้ำกับสารนิโคติน มีการผลิตน้ำยาบุหรี่ไฟฟ้าทั้งรสผลไม้และรสขนม ยิ่งเริ่มสูบเร็วก็ยิ่งจะเลิกได้ยากมาก มีโอกาสกลายเป็นทาสของนิโคติน

“บุหรี่ไฟฟ้าที่ใช้ทั้งรูป รส กลิ่น เสียงเพลง (อสุนทรียสาร) มีการพ่นควันที่เรียกว่า Cloud Contest เป็นเทคนิคยั่วยวนเชิญชวนให้เริ่ม ไม่ใช่เลิก เป็นการใช้หลักจิตวิทยาพลังบวกกับสารนิโคติน ถือเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ทุกท่านที่ต้องตระหนักว่าวันนี้จำเป็นต้องปกป้องคุ้มครองบุตรหลานเราให้รอดพ้นจากการเป็นนักสูบหน้าใหม่ที่ไม่ให้กลายเป็นเยาวชนติดยา ซึ่งได้ไม่คุ้มเสียกับความเสียหายในคุณภาพพลเมืองอนาคต” รศ.นพ.สุริยเดว กล่าว

รศ.นพ.สุทัศน์ รุ่งเรืองหิรัญญา หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ กล่าวว่า ปัจจุบันมีกระแสในโลกโซเชียลระบุว่า บุหรี่ไฟฟ้าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปลอดภัย ไม่มีพิษภัยต่อสุขภาพ สามารถใช้ช่วยเลิกบุหรี่มวนได้ ภาครัฐควรเปิดให้มีการนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเสรี เหมือนสินค้าทั่วไปกระแสเหล่านี้เป็นสิ่งที่น่ากังวลมาก เนื่องจากเป็นการเรียกร้องของกลุ่มที่เกี่ยวพันกันกับธุรกิจยาสูบข้ามชาติ ที่พยายามผลักดันให้สินค้าของตนเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยได้อย่างเสรีเพื่อผลกำไร ในทางกลับกันมีข้อมูลอีกมากที่ฝั่งธุรกิจยาสูบกลับไม่กล่าวถึง เช่น ผลงานวิจัยที่บ่งถึงผลกระทบต่อสุขภาพของผลิตภัณฑ์บุหรี่ไฟฟ้าที่พบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งกว่านั้น ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวที่ยังคลุมเครือ เพราะมีสารเคมีหลายชนิดที่ไม่เคยพบในควันบุหรี่มวน แต่พบมากในไอของบุหรี่ไฟฟ้า ที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาวได้ นอกจากนี้ การออกแบบผลิตภัณฑ์และกลิ่นรสที่ปรุงแต่งในน้ำยาของบุหรี่ไฟฟ้าโดยมุ่งเป้าไปยังกลุ่มเยาวชนและสตรี ยิ่งทำให้ทั้งสองกลุ่มมีความเสี่ยงเข้าสู่วงจรการเสพติดยาสูบเพิ่มขึ้นเหมือนในหลายประเทศ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐของไทยต้องไม่ดำเนินการตามข้อเรียกร้องของกลุ่มธุรกิจยาสูบที่เห็นความสำคัญเพียงแต่ผลกำไรของตนเท่านั้น

รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล นายกสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า โรคถุงลมโป่งพอง เกิดจากการระคายเคืองเรื้อรังของหลอดลมและถุงลมปอด จากฝุ่น ควัน หรือก๊าซที่เป็นพิษ ส่วนใหญ่เกิดจากการสูบบุหรี่ทั้งบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนน้อยเกิดจากมลพิษ ปัจจุบันโรคถุงลมโป่งพองเป็นโรคเรื้อรังอันดับต้นๆ ที่ทำให้คนไทยเกิดภาวะทุพพลภาพและเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ข้อมูลจากทั่วโลกพบว่ากลุ่มผู้ป่วยที่มีโรคถุงลมโป่งพองจะติดเชื้อโควิด-19 ได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสสูงที่โรคจะลุกลามคุกคามต่อชีวิต เนื่องในวันถุงลมโป่งพองโลก ขอเชิญชวนให้ทุกคนหันมาใส่ใจในเรื่อง “สุขภาวะปอด” เพราะปอดกำลังถูกคุกคามอย่างหนักในท่ามกลางการระบาดของโควิด-19

ศ.พญ.ธนัญญา บุณยศิรินันท์ กรรมการสมาคมแพทย์โรคหัวใจแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า มีข้อมูลชัดเจนว่า การสูบบุหรี่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดแดงหัวใจตีบ ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญต่อการเสียชีวิต การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแดงตีบที่ตำแหน่งอื่นๆ อีกด้วย เช่น โรคหลอดเลือดแดงสมองตีบ โรคหลอดเลือดแดงขาส่วนปลายตีบ มีการศึกษาสนับสนุนว่า การเลิกบุหรี่ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด เมื่อเทียบกับคนที่ยังคงสูบบุหรี่อยู่ ดังนั้นสมาคมโรคหัวใจทั้งในและต่างประเทศ จึงมีคำแนะนำให้หยุดสูบบุหรี่ ทั้งในแนวทางการรักษาโรคหลอดเลือดแดงหัวใจตีบชนิดเฉียบพลันและชนิดเรื้อรัง โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคไขมันในเลือดสูง รวมถึงการป้องกันการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดอีกด้วย