‘อาเซียน’ ผนึกคู่เจรจาเร่งฟื้นเศรษฐกิจจากโควิด ผลักดัน ‘RCEP’ บังคับใช้ต้นปีหน้า พร้อมอัพเกรด FTA ให้ทันสมัย

‘อาเซียน’ ผนึกคู่เจรจาเอฟทีเอ ย้ำความร่วมมือด้านสาธารณสุข แก้ปัญหาโควิด-19 เร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนของภูมิภาค เร่งดันคู่เจรจา RCEP ให้สัตยาบันโดยเร็ว หวังบังคับใช้ความตกลงต้นปีหน้า พร้อมเร่งอัพเกรด FTA ให้ทันสมัยและเปิดกว้าง ด้านคู่เจรจาพร้อมหนุนอาเซียน ทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การรับมือ 4IR เศรษฐกิจดิจิทัล e-commerce และการค้าที่ยั่งยืน

นายสรรเสริญ สมะลาภา ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์) ได้มอบหมายให้เข้าร่วมการประชุมของผู้นำประเทศอาเซียนกับคู่เจรจา ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา รวม 9 การประชุม ในช่วงการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 38 และ 39 ระหว่างวันที่ 26-28 ตุลาคม 2564 ผ่านระบบการประชุมทางไกล โดยมีพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทย

นายสรรเสริญ กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ ทุกประเทศได้ย้ำถึงความร่วมมือระหว่างกันทางด้านสาธารณสุข เพื่อแก้ไขปัญหาโควิด-19 การเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ และสร้างความยั่งยืนของภูมิภาค ตลอดจนกระชับความสัมพันธ์โดยยังคงรักษาความเป็นแกนกลางของอาเซียน นอกจากนี้ กลุ่มประเทศที่เข้าร่วมเจรจาความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) อาทิ ออสเตรเลีย จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้ย้ำถึงความสำคัญในการให้ประเทศสมาชิกเร่งให้สัตยาบันโดยเร็ว เพื่อให้ความตกลงมีผลบังคับใช้ภายในเดือนมกราคม 2565 ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ เพื่อรักษาการเติบโตทางเศรษฐกิจและรักษาความเชื่อมโยงของห่วงโซ่การผลิตระหว่างกัน

ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพาณิชย์ เสริมว่า การประชุมระดับสูงสุดครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จของอาเซียน ที่ผู้นำของประเทศคู่เจรจาเห็นความสำคัญของอาเซียนที่มีต่อระบบเศรษฐกิจของโลก เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูง พร้อมทั้งต้องการกระชับและขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับอาเซียนให้มากขึ้น อาทิ เร่งการเจรจาเพื่อยกระดับ FTA ระหว่างอาเซียนกับคู่เจรจาที่มีอยู่เดิมให้ทันสมัยและเปิดกว้าง เช่น อาเซียน-อินเดีย อาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ อาเซียน-จีน และอาเซียน-เกาหลีใต้ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยให้ขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนมากขึ้น และสามารถฟื้นฟูภูมิภาคหลังวิกฤตโควิด-19 ได้โดยเร็ว

นอกจากนี้ ประเทศคู่เจรจายังพร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุนอาเซียนในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเพิ่มขีดความสามารถในด้านต่างๆ ที่จะมีแนวโน้มต่อรูปแบบการค้าและเศรษฐกิจโลกในอนาคต โดยเฉพาะการรับมือเรื่องการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 (4IR) เศรษฐกิจดิจิทัล พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (e-commerce) และการค้าที่ยั่งยืน

สำหรับการเร่งรัดความตกลง RCEP ให้มีผลบังคับใช้โดยเร็ว การยกระดับความตกลงให้ทันสมัยและเปิดกว้างมากขึ้น และการเร่งเปิดเจรจา FTA กับประเทศคู่ค้าใหม่ ๆ อาทิ แคนาดา รวมถึงการพัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์MSMEs Start-up และห่วงโซ่การผลิต ถือเป็นนโยบายสำคัญของรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ที่เน้นย้ำและติดตามอย่างใกล้ชิด เพื่อแสวงหาโอกาสทางการค้าให้กับสินค้าไทยในตลาดโลก ผ่านการเจรจาการค้าเสรี ซึ่งจะส่งผลดีกับภาคการผลิต ทั้งสินค้าเกษตร-อุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจการส่งออก ให้สามารถส่งออกสินค้าและบริการที่มีศักยภาพของไทยไปตลาดโลกได้เพิ่มขึ้น และยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย. 2564) การค้าระหว่างไทยกับอาเซียน มีมูลค่า 81,384.18 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.90 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า สำหรับการค้าไทยกับกลุ่มประเทศ RCEP มีมูลค่า 2.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า