วันจันทร์ที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๔ เวลา ๑๓.๓๐ น. รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (นายอนุชา นาคาศัย) ประธานกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เป็นประธานการประชุม คคบ. ครั้งที่ ๙/๒๕๖๔โดยเป็นการประชุมผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งในที่ประชุมมีมติให้ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ประเภทห้องชุดคอนโดมิเนียม จำนวน ๑ เรื่อง ด้านสินค้าและบริการทั่วไป จำนวน ๙ เรื่อง (เลขไมล์รถยนต์ใช้แล้ว บริการดูแลผู้ป่วย/ผู้สูงอายุ ว่าจ้างทำประตูกระจกบานเลื่อนการจัดส่งพัสดุ และการบริการเสริมความงาม) ดังนี้
ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ จำนวน ๑ เรื่อง
-ดำเนินคดีแพ่ง กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด ต่อมาได้รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดแล้วแต่ปรากฏว่า บริษัทฯ ยังไม่สามารถส่งมอบห้องชุดให้ผู้บริโภคเข้าพักอาศัยหรือใช้ประโยชน์ได้ตามปกติ และยังไม่ได้ส่งมอบรายการส่งเสริมการขายตามที่ตกลงให้ ซึ่งบริษัทฯ เป็นฝ่ายผิดสัญญา และเป็นการละเมิดสิทธิ ผู้บริโภคจึงมีความประสงค์ขอให้ดำเนินการให้สามารถเข้าพักอาศัยและใช้ประโยชน์ในห้องชุดได้ รวมถึงส่งมอบรายการส่งเสริมการขายให้ครบถ้วนพร้อมชดใช้ค่าเสียหาย ซึ่งคณะกรรมการได้มีการพิจารณาแล้วเห็นควรให้บริษัทฯ ดำเนินการตามที่ผู้บริโภคได้ร้องขอโดยสามารถเข้าใช้ประโยชน์ในห้องชุด และส่งมอบรายการส่งเสริมการขายตามที่ตกลงไว้ มติที่ประชุม เห็นควรดำเนินคดีแพ่งแก่บริษัทเพื่อบังคับให้ส่งมอบรายการส่งเสริมการขาย รวมมูลค่าทั้งสิ้น จำนวน ๔๗,๙๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
ดำเนินคดีกับผู้ประกอบธุรกิจด้านสินค้าและบริการ จำนวน ๙ เรื่อง
-ดำเนินคดีแพ่ง กรณีผู้บริโภคซื้อรถยนต์ใช้แล้ว ยี่ห้อ TOYOTA รุ่น CAMRY ในราคา๓๑๐,๐๐๐ บาท จากเจ้าของเต็นท์รถยนต์แห่งหนึ่ง และชำระเงินค่ารถยนต์ครบถ้วนแล้ว ขณะนั้นรถยนต์มีเลขไมล์ใช้แล้วประมาณ ๑๔๐,๐๐๐ กิโลเมตร ต่อมาได้นำรถยนต์ไปเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพบว่ารถยนต์คันดังกล่าวมีเลขไมล์ฯ ประมาณ ๖๐๐,๐๐๐ กิโลเมตร ซึ่งไม่ตรงตามที่ปรากฏในวันทำสัญญา ผู้บริโภคจึงต้องการขอยกเลิกสัญญาและขอเงินคืน การกระทำของเจ้าของเต็นท์ส่งมอบรถยนต์ที่มีเลขไมล์แสดงระยะทางไม่ถูกต้องตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญา รวมถึงปฏิเสธไม่คืนเงินจำนวน ๓๑๐,๐๐๐ บาท เป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม เห็นควรดำเนินคดีแพ่งแก่เจ้าของเต็นท์รถยนต์ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้กับผู้บริโภค เป็นเงินจำนวน ๓๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
-ดำเนินคดีแพ่ง กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาว่าจ้างห้างหุ้นส่วนฯ แห่งหนึ่ง บริการดูแลผู้ป่วย/ผู้สูงอายุ ได้ทำสัญญาและได้ตกลงค่าจ้างเป็นรายเดือน ๆ เดือนละ ๑๕,๐๐๐ บาท โดยผู้บริโภคได้ชำระเงินค่าบริการ เป็นเงินจำนวน ๑,๐๐๐ บาท และชำระเงินมัดจำ เป็นเงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท ต่อมาพนักงานไม่มาปฏิบัติงาน และห้างฯ ไม่มีการส่งพนักงานมา และแจ้งว่าจะคืนเงินมัดจำจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาทคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเลิกสัญญาด้วยความสมัครใจ ซึ่งปัจจุบันทางห้างฯ ได้คืนเงินมัดจำให้แล้ว จำนวน ๔,๐๐๐ บาทแต่ยังไม่ยินยอมคืนเงินจำนวนที่เหลืออีก ๑๑,๐๐๐ บาท ให้ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค
มติที่ประชุม เห็นควรดำเนินคดีแพ่งแก่ห้างหุ้นส่วนฯ เพื่อบังคับให้คืนเงินให้ผู้บริโภค เป็นเงินจำนวน ๑๑,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
-ดำเนินคดีแพ่ง กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาว่าจ้างให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ แห่งหนึ่ง จัดหาพนักงานมาดูแลผู้ป่วยหรือผู้สูงอายุโดยได้ชำระเงินค่าบริการ จำนวน ๑,๐๐๐ บาท และชำระเงินมัดจำจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงินจำนวน ๑๖,๐๐๐ บาท ต่อมาพนักงานได้ลาออก ผู้บริโภคจึงบอกเลิกสัญญากับห้างฯ โดยห้างฯ ได้ตกลงยกเลิกสัญญาและแจ้งว่าจะคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้ ภายหลังจากยกเลิกสัญญา ๓๐ วัน ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาแต่ปรากฏว่าห้างฯ ไม่ชำระเงินคืนให้แก่ผู้บริโภค พิจารณาแล้ว เห็นว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตกลงเลิกสัญญาด้วยความสมัครใจ โดยห้างฯ จะต้องคืนเงินมัดจำ จำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท แต่กลับไม่ยอมคืนเงินจำนวนดังกล่าวให้ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม เห็นควรดำเนินคดีแพ่งเพื่อบังคับให้ห้างฯ และผู้มีอำนาจในการลงนามร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินให้กับผู้บริโภค จำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
-ดำเนินคดีแพ่ง กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาว่าจ้างให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดแห่งหนึ่งจัดหาพนักงานมาดูแลผู้สูงอายุ ได้ชำระเงินค่าบริการจำนวน ๑,๐๐๐ บาท และชำระเงินมัดจำ จำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน จำนวน ๑๖,๐๐๐ บาท ต่อมาประมาณปลายเดือนพฤศจิกายน ๒๕๖๓ พนักงานของห้างฯ ไม่สามารถดูแลผู้ป่วยได้ และห้างฯ มิได้จัดหาพนักงานมาดำเนินงานแทน ซึ่งห้างฯ ได้ตกลงเลิกสัญญาและชำระเงินมัดจำคืนให้แล้ว จำนวน ๕,๐๐๐ บาท จึงมีความประสงค์เรียกร้องให้คืนเงินในส่วนที่เหลือ จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท คืน พิจารณาแล้วเห็นว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้ตกลงเลิกสัญญาต่อกันโดยห้างฯ ไม่ยินยอม
คืนเงินจำนวนที่เหลือ จึงเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค มติที่ประชุม เห็นควรดำเนินคดีแพ่งเพื่อบังคับให้ห้างฯ และผู้มีอำนาจในการลงนามร่วมกันหรือแทนกันคืนเงิน จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ให้กับผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
-ดำเนินคดีแพ่ง กรณีผู้บริโภคได้ว่าจ้างให้บริษัทฯ แห่งหนึ่งดูแลผู้ป่วย และได้ชำระเงินรวมจำนวน ๔๐,๐๐๐ บาทโดยบริษัทฯ ให้โอนเงินไปยังบัญชีของห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ และผู้บริโภคได้นำผู้ป่วยเข้ารับบริการ และในเวลาต่อมา บริษัทฯ แจ้งว่า ผู้ป่วยมีอาการทรุด ผู้บริโภคจึงนำไปรักษาที่สถานพยาบาล และแจ้งบริษัทฯ ว่าจะไม่เข้ารับบริการอีก และขอให้สรุปเงินค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ตกลงคืนเงิน จำนวน ๒๕,๐๐๐ บาท โดยได้แจ้งผู้บริโภคผ่านแอปพลิเคชัน (LINE) ว่าจะโอนเงินจำนวนดังกล่าวให้ จนผู้ป่วยได้เสียชีวิต จึงแจ้งว่าจะไปร่วมงานบำเพ็ญกุศลศพและจะนำเงินไปคืนให้แต่ไม่ได้คืนเงินตามที่ตกลงกันไว้ซึ่งการส่งข้อมูลดังกล่าวผ่านแอปพลิเคชัน (LINE) ถือว่าเป็นการส่งข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา ๗แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ ห้ามไม่ให้ปฏิเสธความมีผลผูกพันและการบังคับใช้ทางกฎหมายของข้อความในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ จึงเป็นกรณีที่คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้แสดงเจตนาสมัครใจเลิกสัญญาต่อกัน เมื่อบริษัทฯ และห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ ไม่คืนเงิน ตามที่ตกลงกันไว้ จึงเป็นการละเมิดสิทธิผู้บริโภค มติที่ประชุม เห็นควรดำเนินคดีแพ่งเพื่อบังคับให้กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพันบริษัทฯ และห้างหุ้นส่วนจำกัดฯ มีผลประโยชน์ร่วมกัน คืนเงินจำนวน ๒๕,๐๐๐ บาท ให้กับผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
-ดำเนินคดีแพ่ง กรณีผู้บริโภคได้ทำสัญญาจ้างพนักงานดูแลผู้สูงอายุ ผู้ป่วย กับห้างหุ้นส่วนฯ แห่งหนึ่ง เป็นระยะเวลา ๖ เดือน และได้ชำระเงินมัดจำ จำนวน ๑๘,๐๐๐ บาท ต่อมา ห้างหุ้นส่วนฯ ไม่ได้จัดส่งพนักงานตามสัญญา ทำให้ผู้บริโภคต้องดูแลผู้ป่วยเองหลายครั้ง เมื่อสิ้นสุดสัญญาจ้างฯ และได้ติดต่อไปยังห้างหุ้นส่วนฯ แต่ไม่สามารถติดต่อได้ หลังจากติดต่อได้ จึงได้สอบถามเรื่องเงินมัดจำ แต่ห้างหุ้นส่วนฯ ดังกล่าวขอเวลาในการจัดทำเอกสาร ผู้บริโภคจึงได้ส่งเอกสารรายละเอียดเพื่อขอรับเงินมัดจำส่วนที่เหลือคืน เป็นเงินจำนวน ๑๔,๔๐๐ บาท ซึ่งห้างหุ้นส่วนฯ แจ้งกลับมาว่า ได้หักเงินมัดจำดังกล่าว ในอัตราร้อยละ๓๐ เป็นเงินจำนวน ๕,๔๐๐ บาท เนื่องจากผู้บริโภคได้ยกเลิกสัญญาจ้างก่อนครบกำหนด และหักค่าแรงพนักงาน จำนวน ๖,๐๐๐ บาท คงเหลือคืนให้แก่ผู้บริโภค จำนวน ๖,๖๐๐ บาท จึงสอบถามถึงการหักเงินดังกล่าว แต่ไม่ได้รับการชี้แจง การกระทำของห้างหุ้นส่วนฯ ละเมิดสิทธิของผู้บริโภค เนื่องจากไม่ได้จัดส่งพนักงานไปปฏิบัติงานตามสัญญา จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญา ต้องคืนเงินมัดจำส่วนที่เหลือทั้งหมด และไม่สามารถหักเงินมัดจำในอัตราร้อยละ ๓๐ จากยอดได้ มติที่ประชุม เห็นควรดำเนินคดีแพ่งเพื่อบังคับให้ห้างหุ้นส่วนฯ และหุ้นส่วนผู้จัดการ ร่วมกันคืนเงิน จำนวน ๑๔,๔๐๐ บาท ให้กับผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
-ดำเนินคดีแพ่ง กรณีผู้บริโภคได้ว่าจ้างช่างทำประตูกระจกบานเลื่อนพร้อมติดตั้ง จำนวน๕ รายการ เป็นเงินจำนวน ๗๘,๑๐๐ บาท โดยชำระเงินให้แล้ว จำนวน ๕๙,๐๐๐ บาท แต่ปรากฏว่าได้ส่งมอบงานเพียงสองรายการและไม่สมบูรณ์ ไม่ส่งมอบสินค้ารายการอื่น ๆ เพิ่มเติมอีก ผู้บริโภคจึงมีความประสงค์ให้คืนเงิน ๕๙,๐๐๐ บาท ซึ่งสัญญาดังกล่าวเป็นสัญญาจ้างทำของโดยไม่จำเป็นต้องจัดทำเป็นหนังสือสัญญาฉบับดังกล่าว จึงมีผลผูกพันคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย การที่ช่างได้ส่งมอบสินค้าให้แก่ผู้บริโภคแต่ไม่สามารถใช้งานได้ ประกอบกับต้องดำเนินการแก้ไขและส่งมอบงานในส่วนที่เหลือ แต่ได้ถูกบ่ายเบี่ยง ถือเป็นการไม่ชำระหนี้และส่งมอบงานให้เป็นไปตามสัญญา และเป็นฝ่ายผิดสัญญา มติที่ประชุม เห็นควรดำเนินคดีแพ่งเพื่อบังคับให้ช่าง คืนเงิน จำนวน ๕๙,๐๐๐ บาท ให้กับผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
-ดำเนินคดีแพ่ง กรณีผู้บริโภคในฐานะผู้รับมอบอำนาจซึ่งเป็นผู้จัดส่งพัสดุกระเป๋ายี่ห้อGucci รุ่น Bee Tote มูลค่า ๑๕,๐๐๐ บาท กับบริษัทฯ แห่งหนึ่ง โดยส่งจากจังหวัดสมุทรสาครไปยังผู้รับสินค้าอยู่ที่กรุงเทพมหานคร แต่พัสดุดังกล่าวสูญหายในระหว่างการจัดส่งของบริษัทฯ ผู้บริโภคจึงประสานไปยังบริษัทฯ แต่ได้รับการบ่ายเบี่ยง พิจารณาแล้วเห็นว่ากรณีดังกล่าวบริษัทฯ ได้กระทำการอันเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค เนื่องจากพัสดุดังกล่าวสูญหายในระหว่างการจัดส่งของบริษัทฯ ซึ่งพนักงานได้แจ้งว่าจะทำการชดเชยเงินจำนวน ๒,๐๐๐ บาท ไว้ก่อนและจะติดตามพัสดุที่สูญหายให้ ทำให้ผู้บริโภคเชื่อในข้อเสนอและจำต้องรับเงินชดเชยค่าเสียหายดังกล่าวไว้ โดยบริษัทต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายเต็มจำนวนตามมูลค่าของกระเป๋าที่สูญหายจริง เป็นเงินจำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท โดยได้มีการชดเชยค่าเสียหายไปแล้วบางส่วนเป็นเงิน จำนวน ๒,๐๐๐ บาท มติที่ประชุม เห็นควรดำเนินคดีแพ่งเพื่อบังคับให้บริษัทฯ จัดส่งพัสดุหรือคืนเงิน จำนวน ๑๓,๐๐๐ บาท ให้กับผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
–กรณีผู้บริโภคเข้ารับบริการเสริมความงามด้วยการฉีดฟิลเลอร์ที่แก้มทั้งสองข้างในราคา
๑๐,๐๐๐ บาท กับคลินิกแห่งหนึ่ง ต่อมาประมาณ ๒ ปี เกิดมีอาการอักเสบที่ใบหน้าทั้งสองข้าง จึงได้เข้าพบแพทย์และทำการตรวจเช็ค ได้รับการวินิจฉัยโรคว่า มีสิ่งแปลกปลอมในไขมันกระพุ้งแก้ม จึงทำการรักษาด้วยการผ่าตัดโดยแพทย์ผู้ทำการรักษา และเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเป็นเงินจำนวน ๑๘,๙๐๐ บาท จึงมีความประสงค์ให้คลินิกฯ รับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลที่เกิดขึ้น จากการพิจารณาแล้วเห็นว่า บุคคลผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล และแพทย์ ผู้ได้รับใบอนุญาตผู้ดำเนินการสถานพยาบาล ร่วมกันให้บริการฉีดฟิลเลอร์ให้ผู้บริโภค เป็นเหตุให้ได้รับความเสียหายซึ่งเป็นค่าบริการที่ชำระไป จำนวน ๑๐,๐๐๐ บาทพร้อมทั้งค่าเสียหายที่ต้องเข้ารับการรักษาพยาบาล เป็นจำนวน ๑๘,๙๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๒๘,๙๐๐โดยเป็นค่าเสียหายส่วนที่เกิดขึ้นจริง และจากพฤติการณ์ตามคำให้การบุคคล และแพทย์ ที่ประกอบกิจการสถานพยาบาลมิได้เป็นผู้มีความชำนาญสูงและมิใช่แพทย์ รวมถึงการที่ไม่ให้ข้อมูลประกอบการพิจารณาจึงถือว่า กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย ไม่นำพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค มติที่ประชุม เห็นควรดำเนินคดีแพ่งเพื่อบังคับให้บุคคลผู้ได้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล และแพทย์ผู้ได้รับใบอนุญาตผู้ดำเนินการสถานพยาบาล ร่วมกันคืนเงิน จำนวน ๒๘,๙๐๐ บาท ให้กับผู้บริโภคพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคครั้งที่ ๙/๒๕๖๔ ได้มีการดำเนินคดีแพ่งแก่ผู้ประกอบธุรกิจที่ละเมิดสิทธิผู้บริโภค รวมจำนวน ๑๐ เรื่อง โดยบังคับให้ผู้ประกอบธุรกิจคืนเงินให้แก่ผู้บริโภค เป็นจำนวนเงิน รวมทั้งสิ้น ๕๓๔,๒๐๐ บาท (ห้าแสนสามหมื่นสี่พันสองร้อยบาทถ้วน) พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
*****************************************