ด่วน จับได้แล้ว ผู้ก่อเหตุลักลอบตัดสายเคเบิลรถไฟชานเมืองสายสีแดง ผู้การรถไฟฯ สั่งการเร่งส่งตัวดำเนินคดี เอาผิดทั้งแพ่งและอาญาถึงที่สุด ย้ำไม่กระทบต่อการให้บริการและการเดินรถ ผู้โดยสารทุกคนยังได้รับความปลอดภัยสูงสุดดังเดิม

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่มีข่าวผู้ก่อเหตุลักลอบตัดสายเคเบิลโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดงเผยแพร่ในสื่อสังคมออนไลน์นั้น ล่าสุดการรถไฟฯ ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่การรถไฟฯ ว่า สามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้แล้ว คือนายซาแระห์ ตาเหร์ อายุ 34 ปี ซึ่งลักลอบเข้าไปตัดสายเคเบิลจริงตามที่ปรากฏเป็นข่าว โดยขณะนี้อยู่ระหว่างประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการสอบสวนขยายผลการจับกุม เพื่อเอาผิดถึงที่สุด ตามนโยบายของนายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย เพราะถือเป็นพฤติกรรมอุกอาจในการทำลายทรัพย์สินของราชการ อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อประชาชนส่วนรวมอย่างมาก
ทั้งนี้ การจับกุมผู้กระทำผิดอย่างรวดเร็ว เป็นผลจากการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง โดยการรถไฟฯ ได้เข้าไปติดตั้งกล้องวงจรปิด ในการดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย และใช้เป็นหลักฐานในการติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี ตลอดจนยังใช้วิธีมวลชนสัมพันธ์ โดยขอความร่วมมือกับชุมชนโดยรอบทางรถไฟ ให้ช่วยเป็นหูเป็นตา สอดส่องดูแลความเป็นเรียบร้อย ซึ่งในกรณีได้รับความร่วมมือจากประชาชนในชุมชนไทรคู่ ตั้งอยู่ใกล้เคียงชุมชนรถไฟ กม.11 ในการช่วยจับกุมผู้กระทำผิดมาได้

อย่างไรก็ตาม การรถไฟฯ แจ้งย้ำถึงพี่น้องประชาชน ขอให้มีความมั่นใจในความปลอดภัย การใช้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดง เนื่องจากการตัดชุดสายเคเบิลดังกล่าว เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เชื่อมต่อกับระบบจ่ายไฟฟ้า สำหรับป้องกันอันตรายการบำรุงรักษาของพนักงานที่ลงไปทำงานในเส้นทางรถไฟฟ้าเท่านั้น ไม่ได้ส่งต่อการเดินรถ หรือกระทบต่อความปลอดภัยในการให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในขบวนแต่อย่างใด ที่สำคัญการรถไฟฯ ยังมีการใช้ช่างบำรุงรักษาของบริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลบำรุงรักษา ระบบงานกว่า 10 ปีเข้ามาช่วยดูแล เพราะเป็นระบบจ่ายไฟเหนือหัวรูปแบบเดียวกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงค์
นายเอกรัชกล่าวว่า หลังจากนี้การรถไฟฯ ยังคงความเข้มข้นในการยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัยโครงการรถไฟชานเมืองสายสีแดง โดยทางผู้บังคับการตำรวจรถไฟ และฝ่ายสืบสวน ได้มีคำสั่งแต่งตั้งชุดสืบสวนเพื่อติดตามคนร้ายและทรัพย์สินของการรถไฟฯ เป็นการเฉพาะ โดยมี บริษัท รถไฟฟ้า ร.ฟ.ท. จำกัด ซึ่งให้บริการเดินรถไฟชานเมืองสายสีแดง และบริษัทรักษาความปลอดภัย จัดชุดเจ้าหน้าที่ออกลาดตระเวน และสุ่มตรวจในพื้นที่เสี่ยงตลอด 24 ชั่วโมง ขณะเดียวกัน ยังให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งกำจัดวัชพืชตลอดแนวรั้วให้โล่ง เพื่อให้สอดส่องดูแลความปลอดภัยอย่างทั่วถึงและป้องกันไม่ให้ใช้เป็นพื้นที่ก่อเหตุ ตลอดจนมีการเสริมแนวรั้วป้องกันเพิ่มเติมในจุดเสี่ยง และติดตั้งกล้องวงจรปิดเพิ่มเติมเพื่อเสริมมาตรการรักษาความปลอดภัย

“ผู้ว่าการรถไฟฯ สั่งการให้ติดตามดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดอย่างถึงที่สุดทั้งทางแพ่งและอาญา พร้อมกับให้ฟ้องร้อง เรียกค่าเสียหายความผิดคดีทางแพ่งเกี่ยวเนื่องในคดีอาญา โดยอยู่ระหว่างรวบรวมค่าเสียหายส่งพนักงานสอบสวน นอกจากนี้จะดำเนินคดีข้อหาบุกรุกพื้นที่การรถไฟฯ และก่อกวนให้เป็นอุปสรรคการเดินรถ รวมถึงการก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินทางราชการอีกด้วย”

ปัจจุบัน มีกฎหมายที่เกี่ยวข้องเกี่ยวกับการลักลอบทำลายทรัพย์สินของการรถไฟฯ ได้แก่ พ.ร.บ.จัดวางทางรถไฟแลทางหลวง พ.ศ.2464 มาตรา 84 ได้ระบุผู้ใดที่เข้าไปในที่ดินรถไฟนอกเขตที่อนุญาตให้ประชาชนเข้าออก ถือมีความผิดฐานลหุโทษ ต้องระวางโทษชั้น 1 และมาตรา 87ระบุไว้ว่า ผู้ใดทำให้รถ สิ่งปลูกสร้าง เครื่องจักรหรือสิ่งใดๆ อันเป็นทรัพย์สินของรถไฟเสียหายหรือชำรุด มีความผิดฐานลหุโทษต้องระวางโทษชั้น 1

นอกจากนี้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 ระบุว่า ผู้ใดเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่น เพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้นทั้งหมดหรือแต่บางส่วน หรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์เขาโดยปกติสุข ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาทหรือ ทั้งจำทั้งปรับ ขณะเดียวกันยังเข้าข่ายคดีทำลายทรัพย์สินทางราชการ ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 231 ระบุว่าผู้ใดกระทำด้วยประการใดๆ ให้ประภาคาร ทุ่น สัญญาณ หรือสิ่งอื่นใดซึ่งจัดไว้เป็นสัญญาณเพื่อความปลอดภัยในการจราจรทางบก การเดินเรือ หรือการเดินอากาศ อยู่ในลักษณะอันน่าจะเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่การจราจรทางบกการเดินเรือ หรือการเดินอากาศ ตั้งระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือนถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 10,000 – 140,000 บาท และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ผู้ใดลักทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 5 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000 – 100,000 บาท