วันเสาร์ที่ 18 กันยายน 2564 เวลา 12.00 นาฬิกา นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน (ข้อมูล ณ วันที่ 17 กันยายน 2564 เวลา 16.00 นาฬิกา) พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 854 ราย (พบในเรือนจำสีแดง 818 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 36 ราย) รักษาหายเพิ่ม 405 ราย เสียชีวิต 1 ราย ทำให้มีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 6,466 ราย (กลุ่มสีเขียว 84.9% สีเหลือง 14.8% และสีแดง 0.3%) เป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร 453 ราย (รวมทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์) ปริมณฑล 136 ราย และต่างจังหวัด 5,877 ราย
นายอายุตม์ กล่าวว่า ในวันนี้ แม้จะมีเรือนจำที่พ้นจากการระบาดเพิ่ม 2 แห่ง คือ เรือนจำกลางขอนแก่น และเรือนจำกลางสมุทรสงคราม แต่กลับพบเรือนจำระบาดเพิ่ม คือ เรือนจำจังหวัดยโสธร ส่งผลให้มีเรือนจำสีแดง 32 แห่ง และเรือนจำสีขาว 110 แห่ง โดยมีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 57,727 ราย หรือ 87.5% ของผู้ติดเชื้อสะสม 65,955 ราย เสียชีวิตสะสม 136 ราย คิดเป็นอัตรา 0.2% ของผู้ติดเชื้อสะสม
สำหรับผู้เสียชีวิต เป็นผู้ต้องขังจากเรือนจำจังหวัดนครนายก ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง มีโรคประจำตัว แม้ว่าได้ดูแลรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐานโดยทีมแพทย์ และส่งต่อการรักษายังโรงพยาบาลภายนอกแล้ว แต่อาการยังคงไม่ดีขึ้น จนกระทั่งได้เสียชีวิตลง กรมราชทัณฑ์ ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไป มา ณ โอกาสนี้ ทั้งนี้ ได้ประสานญาติเพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามวิธีการจัดการศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย
นายอายุตม์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เพิ่มขึ้นในระยะนี้ ยังคงมาจากเรือนจำระบาดใหม่ที่อยู่ระหว่างควบคุมการระบาด ด้วยการเร่งตรวจคัดกรองผู้ติดเชื้อให้ได้รับยาและการรักษาอย่างทันท่วงทีตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ตามมาตรการป้องกันและควบคุมการระบาดของกรมราชทัณฑ์ ทั้งนี้ พบว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการ โดยทุกรายจะได้รับการจ่ายยาฟ้าทะลายโจร หรือยาฟาวิพิราเวียร์ พร้อมด้วยการรักษาตามลักษณะอาการ ภายใต้การประสานความร่วมมือกับโรงพยาบาลแม่ข่ายและหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ รวมถึงการให้ยาฟ้าทะลายโจรในผู้ต้องขังกลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่พบเชื้อ ตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เพื่อการเสริมภูมิคุ้มกันและการรักษาโรค ภายใต้การดูแลของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลอย่างใกล้ชิด