แม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำ ที่สำคัญของประเทศ ซึ่งมีเส้นทางระหว่างจุดบรรจบของแม่น้ำเจ้าพระ-ป่าสัก ในอำเภอ พระนครศรีอยุธยา แม่น้ำเจ้าพระยา ด้านเหนือตั้งแต่อำเภอบางบาลไปจนถึงด้านใต้ที่อำเภอบางไทร สำหรับแม่น้ำป่าสักเริ่มตั้งแต่หน้าวัดพนัญเชิงวรวิหาร อำเภอพระนครศรีอยุธยาไปจนถึงเขื่อนพระราม 6 อำเภอท่าเรือซึ่งเป็นบริเวณที่มีการเดินเรือในลำน้ำหนาแน่นที่สุดของประเทศไทย
นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยว่า แม่น้ำป่าสักถือเป็นเส้นทางการคมนาคมที่สำคัญในการขนส่งสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ข้าว น้ำตาล วัสดุก่อสร้าง รวมถึงสินค้า ที่อาจเป็นอันตรายในการขนส่ง เช่น เชื้อเพลิง ถ่านหิน ปุ๋ย เป็นต้น ซึ่งปริมาณการขนส่งสินค้า ในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักมีปริมาณมากถึงกว่า 40 ล้านตันต่อปี ระหว่างต้นทางและ ปลายทางสินค้าซึ่งอยู่ในหลายจังหวัดในภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือและภาคตะวันตก ของประเทศ และท่าเรือชายฝั่งเรือเดินทะเลบริเวณเกาะสีชัง เพื่อไปยังต่างประเทศต่อไป โดยปริมาณ การจราจรในลำน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดความคับคั่ง ของจราจรในหลายพื้นที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแม่น้ำเจ้าพระบริเวณอำเภอบางไทร อำเภอบางปะอิน อำเภอบางบาล ซึ่งมีท่าเรือขนถ่ายสินค้าจำนวนมาก และแม่น้ำป่าสักซึ่งมีลักษณะคดเคี้ยวและมีข้อจำกัด จากช่องลอดใต้สะพานและตอม่อหลายแห่ง
ดังนั้นเพื่อให้สามารถพัฒนาความปลอดภัยในการขนส่ง ในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อรองรับต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการคมนาคมขนส่งของประเทศในอนาคต จึงจำเป็นต้องทำการศึกษาการจัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยในการเดินเรือแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยการพิจารณาจากแผนยุทธศาสตร์และแผนงานที่สำคัญทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ นโยบายรัฐบาล แผนยุทธศาสตร์กระทรวงคมนาคม แผนยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ของประเทศ รวมถึงการพัฒนาท้องถิ่น และนำมาพิจารณาประกอบการกับข้อมูลสถิติอุบัติเหตุและ ความเสี่ยงในการคมนาคมทางน้ำในพื้นที่ เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนแม่บทความปลอดภัยการคมนาคมทางน้ำ ในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำป่าสักที่สอดคล้องกับแผนงานต่างๆที่สำคัญของประเทศ
สำหรับแผนการพัฒนาประสิทธิภาพการเดินเรือในแม่น้ำป่าสัก กรมเจ้าท่าได้มีแผนพัฒนาให้เรือขนาด 2,500 ตัน สามารถเดินทางเข้า-ออกได้โดยสะดวก ตามแผนพัฒนาจะต้องทำการขุดลอกร่องน้ำทางเรือเดินลึก 4-6 เมตร และก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งเพื่อป้องกันการพังทลายของตลิ่งจากการขุดลอก ทั้งสิ้นจำนวน 2 ระยะ โดยระยะที่1 (3 ตอน (จุดที่วิกฤต)) ระยะที่ 2 (11 ตอน (กม.0 – กม.23)) ความยาวรวม 29 กิโลเมตร แผนดังกล่าวจะดำเนินการแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2566 เป็นการช่วยเพิ่มศักยภาพการขนส่งให้ได้มากถึง 64 ล้านตัน ทั้งนี้ ในระยะที่ 1 (3 ตอน) กรมเจ้าท่าได้รับการจัดสรรงบประมาณปี พ.ศ.2558-2562 เป็นวงเงินรวม 2,060 ล้านบาท (รวมค่าควบคุมงาน) ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนฯ ความยาว 8.48 กิโลเมตร ก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อเดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมา และระยะที่ 2 (8 ตอน) วงเงิน 4,794.9136 ล้านบาท ซึ่งกรมฯ ได้รับจัดสรรงบประมาณ (ค่าก่อสร้างและค่าควบคุมงาน)สำหรับการพัฒนาระยะที่ 2 ตอนที่ 1 ปี 2563-2566 วงเงินที่ได้รับจัดสรรรวมเป็นจำนวน 505.2736 ล้านบาท และตอนที่ 2 ปี 2564-2566 วงเงินที่ได้รับจัดสรรรวมเป็นจำนวน 575.0200 ลบ. และได้ขอตั้งงบประมาณปี 2565 เพื่อดำเนินการระยะที่ 2 ตอนที่ 3-8 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ได้รับการจัดสรรวงเงินงบประมาณ โดยกรมเจ้าท่าจะขอรับจัดสรรงบประมาณปี 2566 วงเงินรวม 742.924 ล้านบาท การดำเนินงานต่อเนื่อง 3 ปี วงเงินรวมทั้งโครงการ 3,714.62 ล้านบาท แบ่งเป็น ปี 2566 จำนวน 742.924 ล้านบาท ปี 2567 จำนวน 1,485.848 ล้านบาท ปี 2568 จำนวน 1,485.848 ล้านบาท เพื่อดำเนินการตามแผนพัฒนาประสิทธิภาพการเดินเรือในแม่น้ำป่าสักต่อไป สำหรับความคืบหน้าผลการดำเนินงานที่แม่น้ำป่าสัก ระยะที่ 2 ตอนที่ 1 และตอนที่ 2 กำลังอยู่ระหว่างดำเนินการ ซึ่งจะต้องวิเคราะห์ปัญหาความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุทางน้ำพร้อมกำหนดแผนงานมาตรฐานต่างๆ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการประสานความร่วมมือในการด้านการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลในการลดอุบัติเหตุอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
___________________________
28 สิงหาคม 2564
ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการกรม
โทรศัพท์ 02-233-1311-3 ต่อ 285
E-Mail : Pr@md.go.th