สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ / ชมรมแพทย์ชนบทปิดปฏิบัติการตรวจโควิดเชิงรุกในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นวันสุดท้าย “ไม่เสร็จ ไม่เลิก ไม่หมด ไม่กลับ กู้ภัยโควิดกรุงเทพฯ” โดยเปิดจุดตรวจวันนี้ 26 จุด รองรับผู้ตรวจประมาณ 50,000 ราย คาดพบผู้ติดเชื้อ 5,000 ราย โดยจะแจกยาและให้การรักษาทันที เพื่อลดภาวะเตียงล้น–บุคลากรรองรับไม่พอ ขณะที่ พอช.เตรียมระดมความช่วยเหลือจากภาคเอกชน ภาคีเครือข่าย หนุนชุมชนจัดตั้งครัวกลาง จัดเตรียมยาสมุนไพรสู้ภัยโควิด
ตามที่ชมรมแพทย์ชนบทจากทั่วประเทศระดมกำลังประมาณ 400 คน กว่า 40 ทีม เข้ามาตรวจโควิดเชิงรุกครั้งที่ 3 ในชุมชนแออัดในกรุงเทพฯ และปริมณฑลระหว่างวันที่ 6-10 สิงหาคม ตั้งเป้าเปิดจุดตรวจทั้งหมด 174 จุด รองรับชุมชนได้ประมาณ 300 ชุมชน ผู้เข้ารับการตรวจทั้งหมดประมาณ 250,000 คน
เปิดจุดตรวจที่ พอช.รองรับประชาชน 1,500 คน
โดยวันที่ 10 สิงหาคม เป็นการตรวจวันสุดท้าย facebook ชมรมแพทย์ชนบทโพสต์ข้อความว่า “ปิดแผนปฏิบัติการวันนี้ วันสุดท้าย กู้ภัยโควิดกรุงเทพมหานคร ปักหลัก 26 จุดตรวจ กระจายทั่วกรุงเทพมหานคร รวมปริมณฑล จังหวัดนครปฐมและสมุทรปราการอีก 2 จุดบริการ เป้าหมายตรวจคัดกรอง 5 หมื่นราย คาดหมายว่าจะพบผู้ติดเชื้อ 5 พันราย เข้าสู่กระบวนการรักษาพยาบาล แต่ละจุดตรวจวันนี้เปิดรับประชาชนในชุมชนโดยรอบ รวมถึงประชาชนบริเวณใกล้เคียงที่ Walk-in เข้ามาขอตรวจ เราจะตรวจให้กับทุกคน เพราะเรามาเพื่อตรวจคัดแยกผู้ติดเชื้อ ทุกทีมกำลังขนสัมภาระล้อหมุนไปยังพื้นที่จุดหมายตั้งแต่เวลา 6.30 น.” และ “เปิดยุทธการ ทิ้งทวนวันสุดท้าย ไม่เสร็จ ไม่เลิก ไม่หมด ไม่กลับ กู้ภัยโควิดกรุงเทพฯ”
โดยในวันนี้ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’ ถนนนวมินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ชมรมแพทย์ชนบทมาเปิดบริการจุดตรวจ โดยทีมแพทย์จากสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) พิจิตรและนครสวรรค์ จำนวน 16 คนร่วมเป็นทีมตรวจ มีอาสาสมัครจาก พอช. ประมาณ 30 คน ร่วมสนับสนุนการตรวจของทีมแพทย์ เช่น ลงทะเบียนผู้ตรวจ จัดคิว และอำนวยความสะดวกต่างๆ โดยมีประชาชนทั่วไปเข้ารับการตรวจประมาณ 1,500 คน และ นพ.ยงยศ ธรรมวุฒิ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข อดีตประธานชมรมแพทย์ชนบทได้มาเยี่ยมจุดตรวจที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ ด้วย
ปฏิบัติการ “ดับไฟที่ต้นทาง” พบติดเชื้อแล้วร้อยละ 10.8
นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ซึ่งยกทีมจำนวน 36 คนมาตรวจโควิดเชิงรุกในกรุงเทพฯ บอกว่า ทีมแพทย์ทั้งหมดจะใช้ชุดตรวจ Rapid Antigen Test Kit (ATK หรือชุดตรวจแบบเร็ว) สามารถรู้ผลตรวจแต่ละคนภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที โดยคนที่มีผลเป็นลบ แพทย์จะให้กลับบ้านได้เลย
ส่วนผู้ที่มีผลบวกให้รอตรวจ RT-PCR อีกครั้ง เพื่อยืนยันผลตรวจ หากผลติดเชื้อแน่นอน ทีมแพทย์จะนำรายชื่อเข้าสู่ระบบการรักษาแบบ Home Isolation ของสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และจ่ายยารักษาเบื้องต้นตามอาการที่พบก่อน โดยผู้ที่มีผลตรวจเป็นบวก จะได้รับยาฟ้าทะลายโจร หรือฟาวิพิราเวียร์ตามอาการที่พบมากน้อยจากการวินิจฉัย และเชื้อจากการสวอปเพื่อตรวจ RT- PCR ของทุกทีมจะถูกรวบรวมส่งไปตรวจที่แล็ปของ รพ.มหาราชนครราชสีมาวันละ 3 รอบ ซึ่งจะรู้ผลภายในวันเดียว โดยผู้ติดเชื้อสามารถเข้าไปดูผลได้ผ่านทางโทรศัพท์มือถือในวันรุ่งขึ้น
ทั้งนี้จากการสรุปผลปฏิบัติการบุกกรุง 5 วัน ระหว่างวันที่ 4-8 สิงหาคม 2564 ตรวจคัดกรองด้วย ATK ทั้งสิ้น 96,087 ราย พบผลบวก 10,357 ราย คิดเป็นร้อยละ 10.8 ผู้ที่มีผลบวกเก็บตัวอย่างส่ง RT-pcr 9,790 ราย คิดเป็นร้อยละ 94.5 ผลตรวจ RT-pcr ยืนยันตรงกันมีผลบวกลวงเพียงร้อยละ 0.55
ประเมินระดับความรุนแรง แดงร้อยละ 2.5 เหลืองร้อยละ 27.3 และเขียวร้อยละ 70.2 ทีมแพทย์ให้การรักษาโดยจ่ายยาฟาวิพิราเวียร์ 4,792 ราย (รวม 239, 600 เม็ด) คิดเป็นร้อยละ 46.3 ของผู้ที่ตรวจพบเชื้อให้ผลบวกและให้การฉีดวัคซีนกลุ่มเสี่ยง เข็มแรกจำนวน 3,047 ราย
ปฏิบัติการบุกกรุงครั้งที่ 3 ของชมรมแพทย์ชนบทครั้งนี้ตั้งเป้าตรวจทั้งหมด 250,000 ราย ประเมินว่าผลบวกจะอยู่ที่ประมาณ 10-15% ดังนั้นจะพบผู้ที่มีเชื้อโควิดที่จะเข้าสู่ระบบการดูแลรักษาจำนวน 25,000-32,500 คน ซึ่งจะสามารถตัดตอนการระบาดไปได้พอสมควร และสามารถช่วยลดภาระเตียงล้นของโรงพยาบาลใน กทม.ลงได้ เพราะทีมแพทย์จะพยายามจ่ายยาฟาร์วิพิราเวียร์ให้กับผู้ติดเชื้อตามเกณฑ์ที่ควรรับยาทุกคน เพื่อลดโอกาสที่ผู้ติดเชื้อจะป่วยหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล
นอกจากนี้ นพ.เกรียงศักดิ์ ยังเปรียบเทียบว่า “กรุงเทพฯ คือต้นเพลิงที่ไฟกำลังลุกลามไปถึงทุกจังหวัด จึงต้องมาช่วยดับไฟโควิดที่กรุงเทพฯ เพื่อปลุกเจ้าของพื้นที่ให้ลุกตื่นขึ้นมาจัดการดับไฟให้เร็วที่สุด”
พอช.หนุนชุมชนจัดตั้งครัวกลาง–เตรียมสมุนไพรสู้โควิด
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยขณะนี้รัฐบาลได้ขยายพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (พื้นที่สีแดงเข้ม) จากเดิม 13 จังหวัด เพิ่มขึ้นเป็น 29 จังหวัด ขณะเดียวกันสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช.ได้สนับสนุนให้ชุมชนต่างๆ จัดทำโครงการเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด โดย พอช.ได้จัดทำโครงการ ‘การแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของชุมชนผู้มีรายได้น้อยที่ได้รับผลกระทบจากโควิด’ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล งบประมาณเบื้องต้น 30 ล้านบาท
ขณะนี้ได้อนุมัติโครงการเพื่อสนับสนุนชุมชนแล้ว จำนวน 50 เครือข่ายเขต/เมืองรวม 416 ชุมชน ผู้รับผลประโยชน์ 83,574ครัวเรือน งบสนับสนุนรวม 18,650,000 บาท แยกเป็น โครงการระดับเครือข่ายเมือง/เขต 5 ล้านบาทโครงการระดับชุมชน 11.4 ล้านบาทเศษ ถุงยังชีพแจกจ่ายกลุ่มเปราะบางของกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ 2 ล้านบาท
และล่าสุดจากการประชุมผ่านระบบ Zoom ร่วมกันระหว่างผู้นำชุมชนต่างๆ กับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ พอช. เมื่อวันที่ 8 สิงหาคมที่ผ่านมา พบว่าสิ่งที่ชุมชนต้องการเร่งด่วนในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคมนี้ คือ
1.จัดตั้งครัวกลางหรือศูนย์อาหารชุมชน เพื่อให้บริการทั้งแบบทำอาหารรายวันแจกจ่ายของแห้งกลับบ้านหรือตั้งคลังอาหารให้สมาชิกในชุมชนมาเบิกอาหารไปปรุงเอง
2. จัดหายาสมุนไพรรักษาโควิดให้ชุมชนให้ได้อย่างน้อย 1,000 ชุด (ประมาณเบื้องต้นชุดละ 500 บาท/คน สำหรับยา 3 ตำรับ กินยา 5วัน)
3.จัดหายาสมุนไพรสำหรับรักษาเด็กที่ติดเชื้อ (หมอสมุนไพรแนะนำยาเขียวหอม แคปซูลละ 4 บาท)
4.ประสานงานกับสำนักงานเขตกทม. และ สปสช. เพื่อสนับสนุนการจัดทำ Home isolation และ Community isolation
5.รณรงค์ให้มีการบริจาคยาและเงินช่วยเหลือการจัดการโควิดของชุมชน
6.จัดหาชุด ppe เพื่อป้องกันการติดเชื้อให้ผู้นำชุมชน ฯลฯ
โดย พอช.จะมีบทบาทพอช.
1.การประสานหน่วยงาน ภาคเอกชน บุคคล เพื่อระดมเงินและข้าวของช่วยเหลือครัวต่างๆ
2.ประสานเครือข่ายชุมชนในพื้นที่ชนบทเพื่อซื้อข้าวสาร อาหาร ผัก สมุนไพร ฯลฯ นำส่งครัวชุมชนต่างๆ
สช. ใช้ ‘นครปฐมโมเดล’ ปลุกเครือข่ายสมัชชาสุขภาพรับมือโควิด
นอกจากข้อเสนอจากผู้นำชุมชนต่างๆ ดังกล่าวแล้ว สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ได้จัดประชุมเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัด และสภาองค์กรชุมชนทั่วประเทศ ผ่านระบบ Zoom เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา โดย นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า สถานการณ์ในขณะนี้ถือว่าประเทศอยู่ระหว่างวิกฤตโดยตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 รายใหม่ได้ทะลุ 2 หมื่นคน เสียชีวิตมากกว่าวันละ 200 ราย และจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมกำลังเดินหน้าสู่ 1 ล้านคนในระยะเวลาอันใกล้ ซึ่งคาดการณ์ว่าสถิติจะเพิ่มสูงขึ้นอีกในช่วงกลางเดือนสิงหาคม-กันยายนนี้ ฉะนั้นทุกภาคส่วนจำเป็นต้องลุกขึ้นมาช่วยเหลือประชาชน
นพ.ประทีป กล่าวต่อว่า หากพิจารณาสถานการณ์การระบาด จะพบว่าเชื้อโควิด-19 ได้ขยายออกจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล กระจายตัวจนใกล้เป็น “วิกฤตของระบบสาธารณสุขระดับพื้นที่” ทั่วประเทศไปแล้ว และจากตัวเลขประชาชนที่ทยอยเดินทางออกจาก กทม. กลับไปรักษาตัวตามภูมิลำเนาที่เพิ่มขึ้นทุกวันตามนโยบายส่งกลับผู้ติดเชื้อเพื่อช่วยแบ่งเบาภาระเตียงของโรงพยาบาลใน กทม. เชื่อว่าอีกไม่นานสถานการณ์การติดเชื้อของแต่ละจังหวัดจะไม่ต่างจาก กทม. ที่ผ่านมา
“สถานการณ์เช่นนี้ตอกย้ำว่า เป้าหมายและกลยุทธ์รับมือโควิด-19 ระลอก 4 จะอยู่ที่ตำบลและชุมชน โดยมีการดูแลรักษาที่บ้าน หรือ Home Isolation และศูนย์พักรักษาที่ชุมชน หรือ Community Isolation ที่จัดการโดยประชาชนในพื้นที่ จะเป็นระบบบริการหลักและมีจังหวัด อำเภอเป็นฐานอำนวยการ สนับสนุนและรับรักษาพยาบาลผู้ป่วยที่มีอาการหนักรวมทั้งมีพระและวัดเป็นที่พึ่งด้านจิตใจของครอบครัวผู้เสียชีวิต” เลขาธิการ คสช. กล่าว
นพ.ประทีป กล่าวอีกว่า มีตัวอย่างพลังภาคีเครือข่ายภาควิชาการ ภาคธุรกิจ ภาคสังคม และจิตอาสาของจังหวัดนครปฐม ได้เข้าไปทำงานร่วมกับหน่วยงานราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นภายใต้การสนับสนุนของผู้ว่าราชการจังหวัด และนายก อบจ. เกิดมาตรการของชาวนครปฐม จนเป็นต้นแบบการจัดระบบการจัดการโควิด-19 ระดับจังหวัดเกิดเป็น ‘นครปฐมโมเดล’ ที่มีรูปธรรมการจัดการ กิจกรรมและนวัตกรรมทางสังคมระดับพื้นที่ที่หลากหลาย โดยล่าสุด 4จังหวัดภาคอีสาน คือ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ หรือ ‘นครชัยบุรินทร์’ และ 5 จังหวัดของ กขป. เขต 10 คือ อุบลราชธานี ศรีสะเกษ ยโสธร มุกดาหาร และอำนาจเจริญ ได้นำโมเดลดังกล่าวไปต่อยอดแล้ว
นพ.สำเริง แหยงกระโทก อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และแกนนำสมัชชาสุขภาพเขตนครชัยบุรินทร์ กล่าวว่า หากถอดบทเรียนเรื่องมาตรการของภาคประชาชนในการขับเคลื่อนงานระดับพื้นที่ จาก ‘นครปฐมโมเดล’ จะพบว่ามีอยู่ 4 ประเด็นสำคัญที่แต่ละจังหวัดสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ได้แก่
1.การตั้งศูนย์ประสานงานภาคประชาชนสู้ภัยโควิด-19 ประจำจังหวัด ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานและทำงานร่วมกับภาครัฐ ซึ่ง จ.นครราชสีมา ได้ดำเนินการแล้ว
2. การจัดตั้งกองทุนเพื่อระดมปัจจัยสนับสนุน ซึ่งมีตัวอย่างจาก ‘กองทุนลมหายใจ’ ของ จ.นครปฐม
3. การบริหารสิ่งสนับสนุนทั้งทางการแพทย์และทางสังคมเข้าไปสู่ HI และ CI ในชุมชนพื้นที่
4.การสร้างและพัฒนาทักษะการจัดการ HI และ CI ของแกนนำ และอาสาสมัครในชุมชน ภายใต้การเป็นพี่เลี้ยงของระบบบริการสาธารณสุขในพื้นที่รับผิดชอบ
ใช้วัดเป็นสถานที่พักคอยผู้ป่วย
นายปฏิภาณ จุมผา รองผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ กล่าวเสริมว่า นอกจากมาตรการของภาคประชาชนแล้ว บทบาทของพระสงฆ์และวัดที่มีอยู่ทุกพื้นที่มีความสำคัญมากในการเป็น ‘ผู้นำชุมชน และสถานที่พักพิง’ รับมือกับวิกฤตครั้งนี้ ดังที่ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ราชวรมหาวิหาร ได้แสดงพระธรรมเทศนา ไว้เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีเนื้อตอนหนึ่งว่า
“ในภาวะวิกฤตโควิด-19 ทุกภาคส่วนล้วนนำเอาความดีและความเชี่ยวชาญมารวมเป็นพลังสำคัญช่วยเหลือเกื้อกูลกัน คณะสงฆ์ได้จัดตั้งโรงทานตามพระราชดำริของสมเด็จพระสังฆราชฯ สนับสนุนให้ใช้พื้นที่วัดเป็นศูนย์พักคอยเพื่อส่งต่อผู้ป่วยสีเขียว คณะสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล ร่วมประสานหน่วยงานภาครัฐและเอกชน จัดตั้งโรงพยาบาลสนามทั่วประเทศเพื่อรองรับและสงเคราะห์ผู้ประสบภัยโควิด-19”
รอง ผอ.พอช.สรุปในตอนท้ายว่า ในสถานการณ์วิกฤตโควิด-19 มีหลายพื้นที่ที่วัดและพระสงฆ์มีบทบาทสำคัญ เช่น
1.การดูแลด้านสุขภาพกันเองของพระสงฆ์ และการร่วมดูแลชุมชน
2.การสนับสนุนให้เกิดการจัดตั้ง CI ซึ่งเป็นได้ทั้ง CI ของพระด้วยกันเอง หรือการใช้พื้นที่วัดเป็นฐานเพื่อจัดตั้ง CI ของชุมชน
3. การระดมปัจจัยและสิ่งสนับสนุนในพื้นที่
4. การช่วยเหลือญาติโยมในช่วงท้ายของชีวิต และการ “ปลุก–ปลอบ” เยียวยาจิตใจของครอบครัวผู้สูญเสีย และเป็น “เสาหลักทางจิตวิญญาณ” เพื่อให้ทุกคนก้าวผ่านความยากลำบากครั้งนี้ไปด้วยกัน
****************