“ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบเรือนจำระบาดเพิ่มต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 เตรียมแผน EXIT เรือนจำรวม 12 แห่ง คาดเริ่มทยอย EXIT ต้น ส.ค.นี้”

ในวันที่ 3 สิงหาคม 2564 เวลา 09.00 น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรมในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 52/2564 โดยมี นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรมนายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายวิตถวัลย์ สุนทรขจิต อธิบดีกรมคุมประพฤติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เผยภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถานในวันนี้ สถานะเรือนจำ
ที่แพร่ระบาดคงที่ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2คือมีเรือนจำสีแดง 29แห่ง เรือนจำสีขาวที่ไม่พบการแพร่ระบาด 106แห่ง และที่สิ้นสุดการระบาดแล้ว 7 แห่งคงเดิม

ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้จำนวน 743ราย (พบในเรือนจำสีแดง 669 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 74ราย) รักษาหายเพิ่ม 920ราย เสียชีวิต 2 ราย รวมมีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 7,518 ราย (กลุ่มสีเขียว 81% สีเหลือง 18.6% และสีแดง 0.4%) เป็นพื้นที่กรุงเทพมหานคร 846 ราย ปริมณฑล 1,970 ราย และต่างจังหวัด 4,702 รายโดยมีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 40,176 รายหรือ 83.2% ของผู้ติดเชื้อสะสม 48,291 ราย เสียชีวิตสะสมรวม 63ราย คิดเป็นอัตรา 0.1% ของผู้ติดเชื้อสะสม

สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายเป็นผู้ต้องขังจากเรือนจำกลางนครปฐม และเรือนจำจังหวัดสระบุรี จากข้อมูลพบว่ามีโรคประจำตัวและอาการอื่นร่วมทำให้มีความรุนแรงของโรคมากกว่าปกติซึ่งผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างเต็มประสิทธิภาพตามมาตรฐานโดยทีมแพทย์ และส่งต่อการรักษาที่โรงพยาบาลภายนอกแต่อาการยังคงไม่ดีขึ้นจนกระทั่งเสียชีวิตลงในที่สุดกรมราชทัณฑ์ขอแสดงความเสียใจต่อการจากไปมา ณ โอกาสนี้ ทั้งนี้ได้ประสานญาติเพื่อนำร่างผู้เสียชีวิตไปประกอบพิธีกรรมทางศาสนาตามวิธีการจัดการศพผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เป็นที่เรียบร้อย

นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมในวันนี้ ได้พิจารณาแผนการสิ้นสุดการระบาดของโรค (EXIT) รวม 10 แห่งในระยะแรกคือ เรือนจำกลางฉะเชิงเทราทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำจังหวัดสงขลา เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร เรือนจำจังหวัดสุพรรณบุรี ทัณฑสถานหญิงสงขลา สถานกักขังกลางจังหวัดปทุมธานี เรือนจำกลางสงขลา เรือนจำกลางสมุทรปราการ และเรือนจำกลางนครปฐมและ EXIT บางแดนอีก 2 แห่ง คือ เรือนจำกลางคลองเปรม และเรือนจำพิเศษมีนบุรี ที่คาดว่าจะเริ่มทยอย EXIT ได้ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป

ทั้งนี้ จากกรณีที่มีรายงานข่าวว่าพบผู้ติดเชื้อในเรือนจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และทัณฑสถานบำบัดพิเศษพระนครศรีอยุธยาจำนวนกว่าพันรายนั้น ขอเรียนว่า จำนวนผู้ติดเชื้อดังกล่าว เป็นยอดผู้ติดเชื้อสะสม ที่นับรวมตั้งแต่มีการพบเชื้อวันแรก ไม่ใช่จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่แต่อย่างใด ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นประจำต่อเนื่องมาโดยตลอด พร้อมทั้งได้สนับสนุนเครื่องเอกซเรย์พระราชทาน ตลอดจนยา เวชภัณฑ์ และบุคลากรเพื่อช่วยเหลือในการคัดกรอง รักษา และควบคุมโรค ร่วมกับสำนักงานสาธารณสุขในพื้นที่ และโรงพยาบาลแม่ข่ายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับเรือนจำสีแดงอื่นๆที่พบการแพร่ระบาด ซึ่งได้ดำเนินการอย่างเป็นระบบ

ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนประจำวันอังคารที่ 3 สิงหาคม 2564 พบผู้ติดเชื้อเพิ่มจำนวน 3 ราย โดยเป็นเยาวชน 2 รายและเจ้าหน้าที่ 1 ราย เดิมมีผู้ติดเชื้อเป็นเยาวชน 34 ราย เเละเจ้าหน้าที่ 13 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 47 รายด้านผลการดำเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจำนวน 44 แห่ง หรือคิดเป็น 78.5% จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 12 แห่ง อยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 6 แห่ง หมดสถานะสีขาว 1 แห่ง และติดเชื้อ 5 แห่งสถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน คงที่ 121 ราย หรือคิดเป็น 2.86% จากทั้งหมด 4,233 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็น 3,793 ราย หรือคิดเป็น 86.78% จากทั้งหมด 4,371 ราย

///////////////////////////////////