“ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ เร่งปลูกและศึกษายาฟ้าทะลายโจร ทั้งการรักษาและสร้างภูมิคุ้มกัน พร้อมเตรียมแผน EXIT เรือนจำเพิ่ม หลังเริ่มควบคุมโรคได้”

ในวันที่ 2 สิงหาคม 2564 เวลา 10.30 น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 51/2564 โดยมี นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พันตำรวจโท มนตรี บุญยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เผย ภาพรวมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน ในวันนี้ สถานะเรือนจำที่แพร่ระบาดคงที่ มีเรือนจำสีแดง 29 แห่ง เรือนจำสีขาวที่ไม่พบการแพร่ระบาดลดลงอยู่ที่ 106 แห่ง และที่สิ้นสุดการระบาดแล้ว 7 แห่งคงเดิม

ขณะที่ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ จำนวน 175 ราย (พบในเรือนจำสีแดง 168 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 7 ราย) รักษาหายเพิ่ม 372 ราย ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต รวมมีผู้ติดเชื้อที่ยังอยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 7,715 ราย (กลุ่มสีเขียว 80.1% สีเหลือง 19.5% และสีแดง 0.4%) มีผู้ติดเชื้อรักษาหายสะสม 39,258 ราย หรือ 82.6% ของผู้ติดเชื้อสะสม 47,551 ราย เสียชีวิตสะสมรวม 61 ราย คิดเป็นอัตรา 0.1% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด

นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมฯ ในช่วงเช้าวันนี้ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ให้เกียรติเข้าร่วมประชุมเพื่อมอบนโยบายแก่ผู้บริหารสถานที่ควบคุมทุกแห่งโดยได้เน้นย้ำให้ปฏิบัติหน้าที่เพื่อป้องกันและรักษาผู้ติดเชื้ออย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการใช้ยาฟ้าทะลายโจร ที่ข้อมูลจากกรมราชทัณฑ์ถือว่ามีประโยชน์มาก โดยจากการใช้เพื่อรักษาโรคที่ผ่านมานับว่ามีประสิทธิผลมากสามารถลดความรุนแรงของโรคได้เป็นอย่างดี แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องเร่งศึกษาข้อมูลและลักษณะการใช้งานให้ถูกต้อง ทั้งในแง่ของการใช้เพื่อการรักษา และการสร้างภูมิคุ้มกันรวมถึงการปลูกและผลิตยาแคปซูลฟ้าทะลายโจรด้วย ที่ได้สั่งการไปยังเรือนจำและทัณฑสถานแต่ละแห่งให้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยวันที่ 2 กันยายน 2564 จะเก็บเกี่ยวได้ 8 ไร่ ซึ่งจะผลิตได้ประมาณ 8 ล้านแคปซูล และวันที่ 22 ตุลาคม 2564 จะเก็บเกี่ยวได้อีก 50 ไร่ และวันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 จะเก็บเกี่ยวได้อีก 7 ไร่ ซึ่งคาดว่าอีกไม่นานจะมียาฟ้าทะลายโจรใช้อย่างเพียงพอทั้งต่อผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถาน และกับคนทั้งประเทศต่อไป

นอกจากนี้ ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยท่านปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมในวันนี้ ได้มีข้อสั่งการให้สำรวจเรือนจำและทัณฑสถานที่เข้าเกณฑ์ตามแผนการสิ้นสุดการระบาดของโรค (EXIT) เพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าจะมีเรือนจำกลางสมุทรปราการ เรือนจำพิเศษมีนบุรี ทัณฑสถานหญิงสงขลา และเรือนจำจังหวัดสตูล รวมถึงเรือนจำขนาดเล็กที่พบว่ามีแพร่ระบาดของเชื้อมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 สัปดาห์ โดยให้ดำเนินการจัดทำแผนเพื่อ EXIT และประสานหน่วยงานสาธารณสุขในแต่ละพื้นที่เพื่อจัดทำแผน ก่อนจะเสนอแผนการ EXIT เข้าที่ประชุมฯ เพื่อพิจารณาอีกครั้งจึงจะสามารถดำเนินการในระยะต่อไปได้ ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำการป้องกันเชื้อที่จะถูกนำเข้าเรือนจำและทัณฑสถาน ด้วยการตรวจหาเชื้อในเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าเวรรักษาการณ์ทุกครั้ง โดยเฉพาะในเรือนจำสีแดงที่พบการแพร่ระบาดแล้ว จะต้องตรวจหาเชื้อโควิด -19 ทั้งก่อนเข้าและก่อนออก และห้ามเจ้าหน้าที่ทุกรายเดินทางเข้าไปในพื้นที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย พร้อมให้รักษามาตรการ D-M-H-T อย่างเคร่งครัด

ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนประจำวันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 มีผู้ติดเชื้อเป็นเยาวชน 32 ราย เเละเจ้าหน้าที่ 12 ราย รวมผู้ติดเชื้อทั้งหมด 44 ราย ด้านผลการดำเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจำนวน 43 แห่ง หรือคิดเป็น 76.7% จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 13 แห่ง อยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 6 แห่ง หมดสถานะสีขาว 2 แห่ง และติดเชื้อ 5 แห่ง สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน คงที่ 121 ราย หรือคิดเป็น 2.84% จากทั้งหมด 4,245 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนคงที่ 3,792 ราย หรือคิดเป็น 86% จากทั้งหมด 4,394 ราย

********************************