“ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ไม่พบเรือนจำระบาดเพิ่มต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 พร้อมคุมเข้มป้องกัน และเร่งค้นหา เพื่อรักษาผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็ว”

ในวันที่ 26 กรกฎาคม 2564 เวลา 09.00 น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 46/2564 โดยมี นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม และโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายกฤช กระแสร์ทิพย์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)

นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ เผย ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน ไม่พบเรือนจำที่แพร่ระบาดต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 ทำให้มีเรือนจำสีขาวที่ไม่พบการระบาดคงที่ 112 แห่ง เรือนจำสีแดงที่แพร่ระบาด 22 แห่ง และสิ้นสุดการระบาดแล้ว 8 แห่ง

นายวัลลภ เปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในวันนี้ มีจำนวน 1,041 ราย (พบในเรือนจำสีแดง 1,010 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 31 ราย) มีผู้ติดเชื้อที่รักษาหายสะสมรวม 37,069 ราย หรือ 82.8% ของผู้ติดเชื้อสะสม 44,783 ราย และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตในวันนี้ ส่งผลให้มีผู้ต้องขังติดเชื้อที่อยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ อยู่ที่ 7,283 ราย แบ่งเป็นกลุ่มสีเขียว 86.7% สีเหลือง 13% และสีแดง 0.3% และผู้เสียชีวิตสะสม 49 ราย คิดเป็นอัตรา 0.1% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด

โดยจำนวนผู้ติดเชื้อที่เพิ่มใหม่ในระยะนี้ จะมาจากมาตรการ 2 ส่วน คือ 1.การตรวจพบระหว่างแยกกักโรคผู้ต้องขังใหม่ ตามมาตรการป้องกันเชื้อจากภายนอก และ 2. การตรวจเชิงรุกในเรือนจำที่แพร่ระบาดเดิม เพื่อเร่งค้นหาผู้ติดเชื้อให้ได้รับการรักษาโดยเร็ว ตามมาตรการเพื่อควบคุมโรคในเรือนจำแพร่ระบาด ซึ่งอาจส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยในช่วงนี้ ทั้งนี้ ก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อการควบคุมการระบาด และลดอัตราผู้ป่วยอาการหนัก รวมทั้งลดการเสียชีวิตได้ในท้ายที่สุด

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมวันนี้ ได้เน้นย้ำเรื่องความเข้าใจในการทำงานอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะด้านการป้องกันเชื้อที่กำลังแพร่ระบาดจากภายนอก ไม่ให้เข้าสู่ภายในเรือนจำ และการค้นหา รักษาและควบคุมโรค เมื่อพบผู้ติดเชื้อทั้งจากในห้องกักโรคและการติดเชื้อในแดน ที่ผู้บริหารสถานที่ควบคุมทุกแห่ง ตลอดจนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานทุกคน จะต้องมีความเข้าใจและปฏิบัติตามระเบียบและขั้นตอนที่วางไว้อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการเฝ้าระวังและมีความรู้เท่าทันสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ เพื่อการเตรียมพร้อมรับมือได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเร่งคืนพื้นที่เรือนจำสีแดงที่แพร่ระบาด ให้สามารถกลับมาทำหน้าที่ได้ปกติ จึงได้พิจารณาแผนการสิ้นสุดการระบาดของโรค (EXIT) ในเรือนจำสีแดง ที่มีความชัดเจนแล้ว 4 แห่งในระยะแรก คือ เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร เรือนจำจังหวัดสงขลา และเรือนจำจังหวัดสุพรรณบุรี ที่ได้เริ่มดำเนินการตามแนวทางบริหารจัดการการคัดออก (Screen Out) แล้ว ซึ่งคาดว่าจะเริ่มประกาศสิ้นสุดการระบาด หรือ EXIT ได้ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมนี้เป็นต้นไป

ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจำวันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2564 พบเจ้าหน้าที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 แล้ว 1 ราย ขณะที่การรักษามีผู้หายป่วยเป็นเจ้าหน้าที่ 1 ราย ด้านสถิติผู้ติดเชื้อคงที่ โดยเป็นเยาวชน จำนวน 31 ราย เเละเจ้าหน้าที่ จำนวน 11 ราย รวมผู้ติดเชื้อทั้งหมด 42 ราย ด้านผลการดำเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีจำนวน 46 แห่ง หรือคิดเป็น 80% จากทั้งหมด 56 แห่ง อีก 10 แห่ง อยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 6 แห่ง และติดเชื้อ 4 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน เพิ่มขึ้น 10 ราย รวมเป็น 121 ราย หรือคิดเป็น 2.83% จากทั้งหมด 4,261 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็น 3,790 ราย หรือคิดเป็น 86% ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 4,399 ราย