“ยุติธรรม เผย สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ เน้นย้ำมาตรการ 3 ด้าน ป้องกันเชื้อเข้า-เฝ้าระวังรักษา-ไม่พาเชื้อออก พร้อมเตรียม EXIT เรือนจำสีแดงเพิ่มอีก 1 แห่ง ต้นเดือนส.ค.นี้”

ในวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 เวลา 09.00 น. ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 44/2564 โดยมีนางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ
ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายกฤช กระแสร์ทิพย์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นางสาวศิริประกาย วรปรีชา รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน พันตำรวจโท มนตรี บุณยโยธิน รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และห้องประชุม 1 ชั้น 2 กรมราชทัณฑ์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี

นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เผย ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน มีเรือนจำสีแดงที่แพร่ระบาด 21 แห่ง เรือนจำสีขาวที่ไม่แพร่ระบาด 112 แห่ง ควบคุมการระบาดได้รอประเมินเป็นเรือนจำสีขาว 9 แห่ง และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตต่อเนื่องเป็นวันที่ 12

นายวัลลภ เปิดเผยว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ลดลงอยู่ที่ 545 ราย (พบในเรือนจำสีแดง 455 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 90 ราย) ซึ่งมีการตรวจพบเชื้อระหว่างแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ที่เพิ่มขึ้น แสดงให้เห็นถึงการทำหน้าที่ของห้องกักโรคที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิผล โดยมีผู้ต้องขังติดเชื้อที่อยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 4,320 ราย เป็นผู้ติดเชื้อกลุ่มสีเขียว 81.1% สีเหลือง 18.3% และสีแดง 0.6% มีผู้ป่วยที่รักษาหายสะสม 36,668 ราย หรือ 88.6% ของผู้ติดเชื้อสะสม 41,372 ราย และมีจำนวนผู้เสียชีวิตสะสม 47 ราย หรือ 0.1% ของผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุม ศบค.ยธ. โดยท่านปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธานการประชุมวันนี้ ได้เน้นย้ำการปฏิบัติตามมาตรการ 3 ด้าน คือ 1.ด้านการป้องกันเชื้อเข้าเรือนจำ 2.ด้านการรักษาผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็ว เพื่อลดผู้ป่วยหนักและลดการเสียชีวิต และ 3.ด้านการป้องกันไม่ให้นำเชื้อที่แพร่ระบาดในเรือนจำออกสู่ภายนอก โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน และผู้บริหารสถานที่ควบคุมทุกแห่ง ให้จัดเตรียมแผนเพื่อดำเนินการอย่างเต็มที่ ทั้งแผนเผชิญเหตุ แผนควบคุมโรค และแผนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่เพื่อสลับหมุนเวียนทำหน้าที่อย่างเป็นระบบ และตรวจหาเชื้อก่อนเข้าพื้นที่ทุกครั้ง และในเรือนจำสีแดงที่แพร่ระบาดให้ตรวจเชื้อซ้ำก่อนออกจากพื้นที่เพื่อป้องกันการนำเชื้อออก โดยสามารถปรับเปลี่ยนตามความเหมาะสมของบุคลากรและพื้นที่ ภายใต้หลักปฏิบัติที่ต้องอาศัยความเข้าใจและความรู้เท่าทันสถานการณ์อยู่เสมอ ซึ่งเชื่อว่าหากดำเนินการได้ครบถ้วนตามแผนที่วางไว้ จะสามารถป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ ที่ประชุมฯ ยังได้พิจารณาแผนการสิ้นสุดการระบาดของโรค (EXIT) ในสถานที่ควบคุมเพิ่มอีก 1 แห่ง คือ ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง ที่ควบคุมการระบาดได้ และสามารถคัดแยกผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อเพื่อกักโรค ตามแนวทางการบริหารจัดการการคัดออก (Screen Out) ตามแนวทางที่วางไว้ เพิ่มเติมจากเดิม 5 แห่งวานนี้ คือ เรือนจำจังหวัดสงขลา เรือนจำจังหวัดสมุทรสาคร เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา ทัณฑสถานหญิงกลาง และเรือนจำจังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งคาดว่าจะสามารถสิ้นสุดการระบาดของโรค หรือ EXIT ได้ประมาณต้นเดือนสิงหาคมนี้เช่นเดียวกัน

ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจำวันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม 2564 พบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 9 ราย เป็นเยาวชน จากเดิมมีจำนวน 21 ราย ขณะที่เจ้าหน้าที่ติดเชื้อคงที่ที่ 13 ราย รวมผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด 43 ราย ด้านผลการดำเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว จำนวน 45 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง หรือคิดเป็น 80% อีก 11 แห่ง อยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 7 แห่ง และติดเชื้อ 4 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน คงที่ที่ 111 ราย หรือคิดเป็น 2.5% จากทั้งหมด 4,310 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็น 3,787 ราย หรือคิดเป็น 85% ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 4,410 ราย

*****************************************
ข่าว : พิมล