กรม สบส. ร่วมกับภาคีเครือข่าย ลงพื้นที่มอบชุดสนับสนุนการปฏิบัติงาน และให้กำลังใจ อสต. แกนนำประจำหอพัก เขตบางขุนเทียน กทม.

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุขภาพ ร่วมกับภาคีเครือข่าย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่มอบชุดสนับสนุนการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันโรคโควิด 19 แก่ อาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และแกนนำประจำหอพัก สร้างความเข้มแข็งและให้กำลังใจการเฝ้าระวัง ป้องกันโควิด 19 ณ ศูนย์สุขภาพชุมชน เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร

เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ รองอธิบดีกรม สบส. พร้อมนพ.วิชาญ ปาวัน ผู้อำนวยการสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง นายเฉลิม ศรมณี ผู้อำนวยการเขตบางขุนเทียน นางสาวรัตนา มนต์ประจักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์บริการสาธารณสุข 42 ถนอม ทองสิมา นางพัสพงค์ นิ่มสำลี ฝ่ายสิ่งแวดล้อมและสุขาภิบาล สำนักงานเขตบางขุนเทียน นายชูวงศ์ แสงคง มูลนิธิรักษ์ไทย และผู้แทนจากองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย มูลนิธิศุภนิมิตร สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ และสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ลงพื้นที่พบปะให้กำลังใจอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว (อสต.) และแกนนำประจำหอพัก พร้อมมอบชุดสนับสนุนสนับสนุนการดำเนินงานเฝ้าระวัง ป้องกันโรคโควิด 19 ณ ศูนย์สุขภาพชุมชน ซอยบางขุนเทียน 14 แยก 2 เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร

นพ.ภานุวัฒน์ รองอธิบดีกรม สบส. กล่าวว่า วันนี้ขอขอบคุณทุกหน่วยงาน และภาคีเครือข่ายทั้งภาครัฐ เอกชน ที่มาร่วมกันสนับสนุน ส่งเสริม สานพลังการดำเนินงานของ อสต. ในการป้องกันและเฝ้าระวัง โรคโควิด 19 ในพื้นที่ชุมชนต่างด้าวบางขุนเทียนซอย 14 ซึ่งพบว่า ชุมชนบางขุนเทียนซอย 14 มีประชากรข้ามชาติ สัญชาติเมียนมาร์ ประมาณ 5,000 คน ส่วนใหญ่ทำงานในโรงงาน หรือสถานประกอบการทั้งในและนอกพื้นที่เขตบางขุนเทียน และพบผู้เข้าข่าย (probable case) จำนวน 279 ราย และมี อสต. ที่ดำเนินการเฝ้าระวังป้องกันโรคโควิด 19 จำนวน 20 คน และจากการลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจ พร้อมพูดคุยพบว่า พี่น้อง อสต.และแกนนำประจำหอพัก ได้มีการปฏิบัติงานเฝ้าระวัง ป้องกันอย่างเข้มแข็ง มีการช่วยเหลือดูแลกันและกัน ทั้งในกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อที่ต้องกักตัวรักษาตัวเองที่บ้าน และกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัว 14 วัน

โดยใช้กลไกการขับเคลื่อนของชุมชนเองผ่านการทำงาน อสต.ร่วมกับภาคเครือข่าย ทั้งเครือข่ายในชุมชน สถานประกอบการ ผู้ประกอบการหอพัก ภาคประชาสังคม และภาครัฐ กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ให้มีการแยกกักตัวรักษาที่บ้านและชุมชน (Home Isolation) โดยอนุญาตให้โรงพยาบาลเอกชน หรือคลินิกเอกชนที่ตรวจพบผู้ติดโรคโควิด 19 ที่มีอาการอยู่ในเกณฑ์สีเขียว ดำเนินการแนะนำและดูแลให้ผู้ป่วย ด้วยการรับเข้ารักษา ณ ที่บ้านหรือที่พักของผู้ป่วย (Home Isolation) โดยสถานพยาบาลจะต้องให้การดูแลส่งเครื่องวัดไข้วัดออกซิเจนในเลือด ยา อาหาร วิดีโอคอล ติดตามอาการของผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง และหากพบว่าผู้ป่วยมีอาการทรุดลง ให้ประสานงานส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของผู้ป่วย

“ขอขอบคุณ อสต. ทุกคน ที่ได้ทำหน้าที่อย่างดียิ่ง แม้จะเหนื่อยหนัก ในการติดตามอาการ ช่วยเหลือดูแลกันและกันในทุกมิติ ทั้งในกลุ่มผู้ที่ติดเชื้อที่ต้องกักตัวรักษาตัวเองที่บ้าน และกลุ่มเสี่ยงที่ต้องกักตัว รวมถึงการร่วมกันเฝ้าระวัง คัดกรองป้องกันโรคโควิด 19 ในชุมชน รวมถึงหอพักทั้ง 40 แห่ง ได้อย่างเข้มแข็ง แม้จะมีอุปสรรคและข้อจำกัดอยู่บ้าง ผมเชื่อมั่นว่าพลังของพี่น้อง อสต.ทุกคนจะทำให้ผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้” นพ.ภานุวัฒน์ กล่าว

นพ.ภานุวัฒน์ ปานเกตุ กล่าวต่ออีกว่า นอกจากนี้กรม สบส. และภาคีเครือข่าย ได้ร่วมมือกันต่อยอดความรู้และพัฒนาคุณภาพ อสต. รวมถึงการอบรม อสต.ใหม่ และแกนนำหอพัก รวมถึงเครือข่ายการทำงานให้เพิ่มมากขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพ รวมถึงการบูรณาการร่วมกับสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน และหน่วยบริการที่เกี่ยวข้อง ในการจัดให้มีโรงพยาบาลหัวหน้าทีมในการดูแลจัดระบบการแยกกักตัวรักษาตัวเองที่บ้าน (Home Isolation) และชุมชน ในกลุ่มแรงงานต่างด้าว เพื่อสุขภาพของผู้ติดเชื้อ และเพิ่มคุณภาพการดูแลรักษา อีกทั้งเพิ่มประสิทธิภาพการป้องกันเฝ้าระวังโรคโควิด 19 ของชุมชน และพร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ได้มอบชุดสนับสนุนการปฏิบัติ ได้แก่ ชุดหน้ากากและถังออกซิเจนขนาดเล็ก จำนวน 3 ชุด ออกซิเจนกระป๋อง จำนวน 22 กระป๋อง เครื่องวัดอุณหภูมิอินฟาเรดแบบสแกนฝ่ามือ จำนวน 6 เครื่อง ปรอทวัดไข้ดิจิตอล จำนวน 22 อัน หมวกคลุมผมพลาสติก จำนวน 500 ใบ ชุดกระเป๋าปฐมพยาบาลขนาดเล็ก จำนวน 10 ชุด เจลแอลกอฮอล์แบบขวดปั๊มและพกพา จำนวน 432 หลอด และอื่นๆ โดยได้รับการสนับสนุนจากเครือข่ายสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการเฝ้าระวังความเสี่ยง คัดกรองและติดตามกลุ่มเสี่ยงผู้ติดเชื้อโควิด 19 ในชุมชน******** 17 กรกฎาคม 2564