“สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ อยู่ในการควบคุม – ไม่พบเรือนจำระบาดเพิ่ม วางแผนเข้ม 3 มาตรการ รับมือการระบาดของเชื้อจากภายนอก”

ในวันที่ 14 กรกฎาคม เวลา 09.00 น. นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 40/2564 โดยมี ศาตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นายวีระกิตติ์ หาญปริพรรณ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และห้องประชุม 1 ชั้น 2 กรมราชทัณฑ์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี

นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ. เผย ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถานยังคงอยู่ในควบคุม ไม่พบเรือนจำระบาดเพิ่ม พร้อมเตรียมรับมือการระบาดของเชื้อจากภายนอกอย่างเข้มข้น

นายวัลลภ เปิดเผยว่า ภาพรวมการระบาดของกรมราชทัณฑ์ พบจำนวนเรือนจำสีขาวและสีแดงยังคงเดิม ไม่พบการระบาดเพิ่ม โดยมีเรือนจำสีขาว 120 แห่ง และเรือนจำสีแดง 13 แห่ง ในวันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเรือนจำแพร่ระบาดเดิม ซึ่งเป็นการตรวจหาเชื้อตามรอบในกลุ่มเสี่ยงสูงเพื่อควบคุมโรคตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุข ขณะที่ยังคงมีจำนวนผู้ป่วยรักษาหายต่อเนื่อง ในวันนี้มีผู้ป่วยที่รักษาหายสะสม 35,639 ราย หรือ 94% ของผู้ติดเชื้อสะสม 37,925 ราย สำหรับผู้ต้องขังที่ยังรักษาตัวอยู่ เป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว 71.9% สีเหลือง 27.7% และสีแดง 0.4% ผู้เสียชีวิตสะสม 47 ราย หรือ 0.1% ของผู้ติดเชื้อสะสม ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนผู้ติดเชื้อที่ได้รับการดูแลรักษาจนหายป่วยเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากต่อจากนี้ จากสัดส่วนของผู้ป่วยสีเขียวซึ่งจะหายได้เองเมื่อได้รับการดูแลรักษาตามกระบวนการในระยะเวลาประมาณ 14 วัน

นายวัลลภ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในที่ประชุม ศบค.ยธ. ได้เน้นย้ำการเฝ้าระวังเชื้อจากภายนอก เป็นพิเศษใน 3 ด้าน คือ

1.การป้องกันเชื้อจากเจ้าหน้าที่โดยต้องสลับเวรแยกกันเป็นชุด และการกักโรค/คัดกรองโรคในผู้ต้องขังรับใหม่ที่ต้องเข้มข้นในทุกส่วน

2.การเตรียมแผนเพื่อรับมือทั้งในกรณีที่เกิดการระบาดในเรือนจำ/ทัณฑสถาน และการติดเชื้อจากผู้ต้องขังเข้าใหม่ ในห้องแยกกักโรค ที่เตรียมการให้พร้อมและเข้าใจการทำงานอย่างเป็นระบบเพื่อให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด

3.การบริหารจัดการวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคแก่เจ้าหน้าที่และผู้ต้องขัง ที่นอกจากจะครบตามแผนเดิมแล้ว อาจจะต้องพิจารณาแนวทางอื่นเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อได้อย่างครอบคลุม ตามแนวทางระบาดวิทยาของเชื้อที่อาจจะมีพัฒนาการมากขึ้นในอนาคตอีกด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบันกรมราชทัณฑ์ ได้ดำเนินการฉีดวัคซีนแก่ผู้ต้องขังในเรือนจำและทัณฑสถานไปแล้ว รวมเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 จำนวน 83,152 โดส จากจำนวนวัคซีนที่ได้รับการจัดสรรตามแผนและจากแหล่งอื่น รวม 97,044 โดส ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการประสานไปยังกรมควบคุมโรค เพื่อขอรับการจัดสรรวัคซีนเพิ่มเติม เพื่อทยอยฉีดให้แก่ผู้ต้องขังกลุ่มอื่นๆ จนครอบคลุมทั้งหมด ตามแนวทางการฉีดวัคซีนของประชาชนทั่วไป

ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจำวันพุธที่ 14 กรกฎาคม 2564 พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็นเจ้าหน้าที่อีก 6 ราย จากเดิม 5 ราย และพบเยาวชนติดเชื้อเพิ่มจำนวน 6 ราย รวมผู้ติดเชื้อทั้งหมด 17 ราย ด้านผลการดำเนินงานสถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว คงที่ที่ 38 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง หรือคิดเป็น 68% และอีก 18 แห่งอยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 7 แห่ง หมดสถานะ 4 แห่ง และติดเชื้อ 7 แห่ง ขณะที่สถิติการฉีดวัคซีนของเด็กและเยาวชน คงที่ที่ 111 ราย หรือคิดเป็น 2.5% จากทั้งหมด 4,235 ราย และเจ้าหน้าที่ได้รับการฉีดวัคซีนเพิ่มขึ้นเป็น 3,629 ราย หรือคิดเป็น 82% ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 4,410 ราย

/////////////////////////////////////////////////////////