“สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ ผู้ติดเชื้อรักษาหายแล้ว ๙๔.๘ % เน้นย้ำนโยบาย ป้องกัน ค้นหา และรักษาผู้ติดเชื้ออย่างรวดเร็ว”

ในวันพุธที่ 7 กรกฎาคม เวลา 14.00 น. นายนิยม เติมศรีสุข รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม ครั้งที่ 37/2564 โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม นางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม

นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) และห้องประชุม 1 ชั้น 2 กรมราชทัณฑ์ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี

นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาด ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม หรือ ศบค.ยธ.เผย ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำ/ทัณฑสถาน พบรักษาหายแล้ว 94.8% โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่ำกว่า 100 รายต่อเนื่อง

นายวัลลภ เปิดเผยว่า สถิติผู้ติดเชื้อของกรมราชทัณฑ์ สถานะของเรือนจำสีแดงและสีขาวยังคงที่มีเรือนจำสีขาวที่ไม่พบการระบาด 122 แห่ง และเรือนจำสีแดงที่พบการระบาด 11 แห่ง โดยวันนี้พบผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่า 100 รายต่อเนื่องเป็นวันที่สี่แล้ว ขณะที่มีผู้ป่วยที่รักษาหายต่อเนื่อง รวมหายสะสม 35,005 ราย หรือ 94.8%
ของจำนวนผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด มีผู้ต้องขังที่อยู่ระหว่างรักษารวม 1,615 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยกลุ่มสีเขียว 63.7% สีเหลือง 35.4% และสีแดง 0.9% ผู้เสียชีวิต สะสม 46 ราย หรือ 0.1% ของ ผู้ติดเชื้อสะสมทั้งหมด ซึ่งจะพบว่าแนวโน้มสถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มดีขึ้นมาก แต่ก็ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่องต่อไป โดยเฉพาะในสภาวะ ที่การแพร่ระบาดของเชื้อภายนอกยังคงมีอยู่

ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้เน้นย้ำนโยบายการเฝ้าระวัง 3 ข้อ คือ

1. ป้องกันไม่ให้มีเชื้อเข้าสู่เรือนจำ /ทัณฑสถานในทุกวิถีทาง

2.อย่าให้นำเชื้อที่ระบาดจากข้างในออกสู่ภายนอก

3.การเร่งค้นหาผู้ติดเชื้อให้เข้าสู่กระบวนการรักษา แยกกักกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเปราะบาง และควบคุมโรคในเรือนจำ/ทัณฑสถานให้รวดเร็วเพื่อลดการสูญเสีย ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพ ทั้งเจ้าหน้าที่ ผู้ต้องขัง และพื้นที่ให้มีระบบ เตรียมแผนการดำเนินการในสภาวะฉุกเฉินที่สามารถปฏิบัติได้จริง โดยเฉพาะการบริหารจัดการด้านข้อมูล จากเรือนจำ/ทัณฑสถาน ที่ต้อง ส่งต่อข้อมูลที่ครบถ้วน รวดเร็ว และถูกต้องมายังส่วนกลาง เพื่อให้เกิดการประมวลผล ซึ่งจะนำไปสู่กระบวนการตัดสินใจ ในประเด็นต่างๆ ที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

นายวัลลภ กล่าวต่อว่า ด้วยความห่วงใยต่อสถานการณ์การระบาดของโรคของกรมราชทัณฑ์ และเพื่อส่งเสริมให้ผู้ต้องขังได้ประกอบกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้มอบข้อสั่งการให้เรือนจำ/ทัณฑสถาน จัดสรรพื้นที่ว่างเพื่อดำเนินการ
ปลูกต้นฟ้าทะลายโจร และประสานขอความร่วมมือจากหน่วยงานภายนอกเพื่อเข้าให้ความรู้ ทั้งในการปลูก การเก็บรักษา
และการแปรรูป ที่นอกจากจะช่วยเพิ่มยารักษาโรคแล้ว ยังสามารถต่อยอดเพื่อพัฒนาเป็นอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้
ให้กับผู้ต้องขังต่อไปได้เป็นอย่างดี

ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน ประจำวันพุธที่ 7 กรกฎาคม 2564 ไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่ม ขณะที่ผู้ติดเชื้อทั้งหมดรักษาตัวหายแล้ว สถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาว มีสถานะรวม 43 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง หรือคิดเป็น 76.78% อีก 13 แห่งอยู่ระหว่างการรอตรวจและรอผล 7 แห่ง หมดสถานะ 1 แห่ง และติดเชื้อ 5 แห่ง ด้านการรับวัคซีนของเด็กและเยาวชน คงที่ที่จำนวน 110 ราย จากทั้งหมด 4,368 ราย หรือคิดเป็น 2.5% ขณะที่การรับวัคซีนของเจ้าหน้าที่เพิ่มขึ้นเป็น 3,405 ราย หรือคิดเป็น 77% ของเจ้าหน้าที่ทั้งหมด 4,408 ราย ทางกรมพินิจฯ ได้กำชับให้บุคลากรในสังกัดงดเว้นการเดินทางออกนอกพื้นที่ และหากเจ้าหน้าที่รายใดมีเหตุจำเป็นในการเดินทางจะต้องทำหนังสือถึงอธิบดีกรมพินิจฯ เพื่ออนุมัติเป็นรายบุคคล พร้อมทั้งจัดทำไทม์ไลน์ และให้ทุกหน่วยบริหารจัดการการทำงานในที่พัก (Work From Home) โดยเฉพาะในส่วนกลางอย่างน้อย 75% และเน้นย้ำการป้องกันดูแลตนเองตามหลัก DHMT หลีกเลี่ยงการสัมผัสและการรวมกลุ่ม ตลอดจนทบทวนแผนเผชิญเหตุเพื่อรับมือและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 ในสถานที่ควบคุมต่อไป