นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “Empowering Thailand 2021 เคลื่อนอนาคตไทยด้วยการลงทุน” ในงานสัมมนาเรื่อง “EMPOWERING THAILAND 2021 เคลื่อนอนาคตไทยด้วยการลงทุน” ผ่านรูปแบบ Live Streaming จัดโดยหนังสือพิมพ์มติชน ในวันพุธที่ 23 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ อาคาร บริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) โดยมี นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง นายวิทยา ยาม่วง อธิบดีกรมเจ้าท่า นายกิตติพันธ์ ปานจันทร์ อธิบดีกรมการขนส่งทางราง นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบาย และแผนการขนส่งและจราจร นายสุทธิพงษ์ คงพูล ผู้อำนวยการสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย และนายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมเสวนาหัวข้อ “เปิดแผนคมนาคม เปิดประเทศ ขับเคลื่อนอนาคตไทย” ดำเนินรายการโดย นายบัญชา ชุมชัยเวทย์
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัส COVID-19 ตั้งแต่ปี 2562 ส่งผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกเกิดภาวะชะงักงัน กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้วิเคราะห์ผลกระทบจากการแพร่ระบาดทำให้เศรษฐกิจโลกหดตัวลง และคาดการณ์ว่าในปีนี้เศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ 6% เนื่องจากมีวัคซีนในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส COVID-19 กระทรวงคมนาคมมีแผนการขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาคอาเซียน เพื่อให้การคมนาคมขนส่งของประเทศมีความสะดวก ปลอดภัย และรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ซึ่งมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งทางราง เพื่อลดต้นทุนการขนส่งของประเทศ และการเตรียมความพร้อมการคมนาคมขนส่งทางอากาศรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยว ตามนโยบายของรัฐบาลที่จะเปิดประเทศ ภายใน 120 วัน หรือ “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” (Phuket Sandbox)
สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง กระทรวงฯ ได้วางแผนการใช้งบประมาณจากแหล่งเงินทุนต่าง ๆ เพื่อให้ประเทศสามารถขับเคลื่อนและแก้ไขปัญหาด้านคมนาคมต่อไปได้ ซึ่งมี เมกะโปรเจกต์หลายโครงการที่เป็นเครื่องจักรสำคัญในการพัฒนาประเทศ เพื่อพลิกเศรษฐกิจให้สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยรัฐบาลภายใต้การบริหารงานของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กระทรวงฯ จึงได้เร่งรัดพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ EEC ซึ่งจะทำให้เกิดนิคมอุตสาหกรรมแห่งใหม่ กระตุ้นจ้างงาน กระจายรายได้ให้กับประชาชน อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 และโครงการพัฒนาท่าเรือมาบตาพุด ระยะที่ 3 เป็นต้น
ส่วนโครงการสำคัญที่จะดำเนินการในอนาคต เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 มีดังนี้
1. การคมนาคมขนส่งทางอากาศ ขณะนี้มีการจองตารางการบิน (Slot) ไว้แล้วกว่า 80 – 90% ซึ่งการท่องเที่ยวเป็นรายได้หลักของประเทศ กระทรวงฯ ได้เตรียมความพร้อมของท่าอากาศยานระหว่างประเทศเพื่อรองรับจำนวนผู้โดยสารที่จะเพิ่มขึ้น โดยได้จัดทำแผนการพัฒนาการขนส่งทางอากาศของประเทศไทยระยะ 15 ปี และได้เร่งรัดการซ่อมบำรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการของท่าอากาศยาน ดังนี้
– การพัฒนาท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ก่อสร้างทางวิ่ง (รันเวย์) เส้นที่ 3 รวมถึงการขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศเหนือ และอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก เพื่อรองรับจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น
– การพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ปรับปรุงอาคารผู้โดยสารหลังที่ 1 และหลังที่ 3 และปรับปรุงทางขับ (Taxi way) เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 40 ล้านคนต่อปี ในปี 2570
– การพัฒนาท่าอากาศยานอู่ตะเภา ให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้สูงสุด 15.9 ล้านคนต่อปี ในปี 2567
– การพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคที่สำคัญ ดำเนินการแล้วเสร็จ ได้แก่ ท่าอากาศยานแม่สอด นครพนม สกลนคร และอยู่ระหว่างการดำเนินการ ได้แก่ ท่าอากาศยานขอนแก่น บุรีรัมย์ เบตง กระบี่ ตรัง และนครศรีธรรมราช
2. การคมนาคมขนส่งทางบก ได้จัดทำแนวทางการบูรณาการระหว่างทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองและทางรถไฟทั่วประเทศ (Motorway and Railway) หรือ MR-MAP กำหนดแนวเส้นทางร่วมรถไฟทางคู่และมอเตอร์เวย์ที่เป็นไปได้ไว้เบื้องต้น 9 เส้นทาง รวมระยะทางประมาณ 5,000 กิโลเมตร แบ่งเป็นแนวเหนือ – ใต้ 3 เส้นทาง และแนวตะวันออก – ตะวันตก 6 เส้นทาง และได้คัดเลือกโครงการนำร่อง (Pilot Project) เพื่อพัฒนา MR-MAP ในระยะแรก จำนวน 4 เส้นทาง ได้แก่
1) ชุมพร – ระนอง หรือโครงการ Land Bridge เพื่อเชื่อมให้ประเทศไทยเป็นเส้นทางการขนส่งสินค้าทางเรือของโลก
2) EEC – Land Bridge – BIMSTEC เพื่อเชื่อมฐานการผลิตจาก EEC เข้าสู่ Land Bridge เพื่อส่งออกไปยังประเทศในกลุ่ม BIMSTEC
3) EEC – โคราช เพื่อกระจายสินค้าจาก EEC เข้าสู่พื้นที่ภาคอีสาน และเชื่อมต่อไปยังประเทศเพื่อนบ้าน
4) วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ รอบที่ 3 เพื่อเป็นเส้นทางใหม่ในการขนส่งสินค้า ลดปัญหาการขนส่งผ่านพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ
3. การคมนาคมขนส่งทางราง มีแผนพัฒนาระบบการคมนาคมขนส่งทางราง ดังนี้
– แผนพัฒนารถไฟฟ้าขนส่งมวลชน (Urban Mass Transit) เพื่อเพิ่มความสะดวกในการเดินทางและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 14 เส้นทาง ล่าสุดเปิดให้บริการแล้ว 2 เส้นทาง คือ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย ช่วงหมอชิต – สะพานใหม่ – คูคต และโครงการรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (สายสีน้ำเงิน) ช่วงเตาปูน – ท่าพระ ทั้งนี้มีกำหนดการที่จะเปิดให้บริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงตลิ่งชัน – บางซื่อ – รังสิต ให้ประชาชนได้ทดลองใช้ฟรีในเดือนกรกฎาคม 2564 และคาดว่าจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบได้ช่วงปลายปีนี้
– การพัฒนารถไฟทางคู่ทั่วประเทศ การดำเนินการระยะเร่งด่วน ก่อสร้างแล้วเสร็จ 2 เส้นทาง ได้แก่ ชุมทางฉะเชิงเทรา – คลองสิบเก้า – แก่งคอย และชุมทางถนนจิระ – ขอนแก่น และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 5 เส้นทาง โดยมีเป้าหมายจะผลักดันให้มีการขนส่งทางรางเพิ่มเป็น 30% และเปิดให้เอกชนเข้ามาลงทุน
– การจัดตั้งบริษัท รถไฟพัฒนาสินทรัพย์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เพื่อดูแล บริหาร และพัฒนาสินทรัพย์ของ รฟท. ให้มีรายได้เข้าสู่ประเทศมากขึ้น
– การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเมืองหลักในภูมิภาค เช่น เชียงใหม่ พิษณุโลก ภูเก็ต อุดรธานี ขอนแก่น นครราชสีมา และหาดใหญ่ ในระยะแรกจะเป็นรถเมล์ไฟฟ้า และหากเมืองมีการเติบโตมีจำนวนผู้โดยสารในระบบมากขึ้น มีแผนจะเปลี่ยนมาเป็นระบบรถไฟฟ้าต่อไป
– รถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน เส้นทางดอนเมือง – สุวรรณภูมิ – อู่ตะเภา ระยะทาง 220 กิโลเมตร คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2571
4. การคมนาคมขนส่งทางน้ำ กระทรวงฯ ได้กำหนดแผนงานโครงการสำคัญทางน้ำ เพื่อสนับสนุนให้มีสัดส่วนการขนส่งทางน้ำเพิ่มมากขึ้น รวมถึงพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยทางน้ำเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยว ดังนี้
– การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ให้สามารถรองรับปริมาณตู้สินค้าผ่านท่ารวมกันได้ประมาณปีละ 18.0 ล้านตู้ต่อปี โดยมีแผนการเปิดให้บริการในปี 2568
– การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสายการเดินเรือแห่งชาติ เพื่อส่งเสริมให้มีการพัฒนาการขนส่งสินค้าทางน้ำและลดต้นทุนการขนส่งโลจิสติกส์
– โครงการ Land Bridge เพื่อเชื่อมโครงข่ายคมนาคมและการขนส่งสินค้าระหว่างทะเล ฝั่งอ่าวไทย – อันดามัน โดยการสร้างท่าเรือน้ำลึกทั้ง 2 ฝั่งของคอคอดกระ และเชื่อมต่อการขนถ่ายสินค้าระหว่าง 2 ฝั่งโดยถนนและระบบราง รวมทั้งเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ EEC พร้อมนำเทคโนโลยีออโตเมชันเข้ามาช่วยในการขนย้ายสินค้าให้มีความรวดเร็วและประหยัดเวลา
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งหมดนี้เป็นแผนงานโครงการของกระทรวงฯ ที่จะช่วยขับเคลื่อนอนาคตของประเทศไทยผ่านการลงทุนภาครัฐ เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประชาชน ส่งเสริมการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุนของภาคเอกชน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัว และเป็นกำลังสำคัญของประเทศในการพลิกโฉมประเทศไทยให้กลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมขนส่งของภูมิภาค
กระทรวงคมนาคม
23 มิถุนายน 2564