สถานการณ์โควิด-19 กรมราชทัณฑ์ พบพื้นที่ กทม.ดีขึ้นชัดเจน มอบศูนย์ CARE เรือนจำ/ทัณฑสถานให้ข้อมูล COVID-19 แก่ญาติ พบให้บริการแล้วกว่า 6 หมื่นราย

วันที่ 21 มิถุนายน 2564 เวลา 09.00 น. ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 2 กรมราชทัณฑ์ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมติดตามการดำเนินงานตาม 5 แผนงานการป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ Covid-19 ภายในสถานที่ควบคุมของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม โดยมีนางสาวณัฐธ์ภัสส์ ยงใจยุทธ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงยุติธรรม นายวัลลภ นาคบัว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ท.วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ผ่านระบบการประชุมทางไกล (Video Conference) ร่วมกับผู้บัญชาการเรือนจำในจังหวัดที่มีสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) เผย ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถาน พบการระบาดในพื้นที่กรุงเทพมหานครดีขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมเร่งให้ข้อมูลแก่ญาติผ่านศูนย์ CARE ทุกเรือนจำ/ทัณฑสถาน แจง ให้บริการไปแล้วกว่า 6 หมื่นราย

นายวัลลภฯ เปิดเผยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกรมราชทัณฑ์ ยังคงมีแนวโน้มที่ดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีผู้ติดเชื้อรายใหม่น้อยกว่าผู้ป่วยที่รักษาหาย และมีผู้หายป่วยสะสมแล้ว 29,166 ราย หรือ 82% ของผู้ติดเชื้อสะสมที่ 35,386 ราย ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อที่อยู่ระหว่างการรักษาอยู่ที่ 5,976 ราย ซึ่งต่ำกว่าหกพันรายเป็นวันแรก โดยไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่ม คงอยู่ที่ 31 ราย หรือประมาณ 0.09% ของผู้ติดเชื้อสะสม ขณะที่มีเรือนจำ/ทัณฑสถานที่เป็นเรือนจำสีขาวไม่พบการระบาดจำนวน 127 แห่ง เรือนจำสีแดงที่พบการระบาดจำนวน 13 แห่ง และมีเรือนจำที่พ้นระยะสีแดง รอการปรับสถานะ 2 แห่ง คือ เรือนจำกลางเชียงใหม่ และเรือนจำจังหวัดนราธิวาส

นายวัลลภฯ กล่าวต่อว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล พบว่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน มีเรือนจำ/ทัณฑสถานหลายแห่งที่สามารถจำกัดแดนที่พบผู้ติดเชื้อ ออกจากแดนปลอดเชื้อได้อย่างชัดเจน จนสามารถวางแผนเพื่อลดสถานะจากเรือนจำสีแดงเป็นเรือนจำสีขาวได้แล้ว ซึ่งคาดว่าส่วนใหญ่จะสามารถลดสถานะจากเรือนจำสีแดงได้ภายในเดือนกรกฎาคม โดยจะเริ่มทยอยลดสถานะได้ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไป ด้านสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในพื้นที่จังหวัดสงขลา ในวันนี้ยังคงพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2 แห่ง คือ เรือนจำกลางสงขลา และทัณฑสถานหญิงสงขลา ซึ่งเป็นการพบผู้ติดเชื้อในบางแดน และได้แยกกลุ่มเสี่ยงออกจากผู้ต้องขังรายอื่นเป็นที่เรียบร้อย รวมถึงการเร่งตรวจหาเชื้อเพื่อคัดแยกผู้ติดเชื้อให้ได้รับการรักษาโดยเร็ว โดยผู้ป่วยกลุ่มสีเหลืองจะถูกส่งตัวรักษาโรงพยาบาลภายนอก ส่วนผู้ป่วยกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการ จะได้รับการดูแลรักษาภายในพื้นที่เรือนจำ/ทัณฑสถานที่จัดทำพื้นที่เป็นโรงพยาบาลสนามเฉพาะ ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์ ได้เร่งดำเนินการเพื่อสนับสนุน ทั้งในส่วนของยารักษาและบรรเทาอาการ เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ที่ใช้ในการรักษารวมถึงการจัดทีมแพทย์และพยาบาลจากส่วนกลางและเรือนจำ/ทัณฑสถานในพื้นที่ที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้แล้ว เพื่อเข้าดูแลและช่วยเหลือในพื้นที่ ส่วนการบริหารจัดการพื้นที่เพื่อรับผู้ต้องขังเข้าใหม่ในช่วงนี้ ผู้ต้องขังชายจากเรือนจำกลางสงขลา และเรือนจำจังหวัดสงขลา จะถูกส่งตัวเข้าคุมขังที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษสงขลา ส่วนผู้ต้องขังหญิง จะนำส่งที่ทัณฑสถานหญิงสงขลา โดยจัดพื้นที่ส่วนควบคุมใหม่ที่แยกประตูเข้า-ออกจากทัณฑสถานเดิมอย่างชัดเจน เพื่อเป็นพื้นที่ปลอดเชื้อในการรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่ต่อจากนี้จนกว่าสถานการณ์จะปกติ ซึ่งจะมีขั้นตอนการกักโรคและตรวจเชื้อผู้ต้องขังเข้าใหม่ทุกรายตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดอย่างเคร่งครัด

นายวัลลภฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของกรมราชทัณฑ์ อาจสร้างความกังวลใจแก่ญาติผู้ต้องขังได้ ทางกรมราชทัณฑ์จึงได้มอบหมายให้ศูนย์ประสานงานและส่งเสริมการมีงานทำ (CARE : Center for Assistance to Reintegration and Employment) หรือศูนย์ CARE ทุกเรือนจำ/ทัณฑสถาน ทำหน้าที่แจ้งข้อมูลข่าวสาร และตอบข้อซักถามแก่ญาติ ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ โทรศัพท์ ไลน์ หรือ เฟซบุ๊กของเรือนจำ/ทัณฑสถาน รวมทั้งผ่านศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 กรมราชทัณฑ์ (ศบค.รท.) หมายเลข 02-9673383, 02-9672222 ต่อ 199 ซึ่งที่ผ่านมา ได้ดำเนินการตอบข้อสงสัยและให้ข้อมูลแก่ญาติผู้ต้องขังไปแล้วทั้งสิ้น 61,890 ราย เป็นการให้ข้อมูลผ่านทางโทรศัพท์ 17,610 ราย ผ่านช่องทางไลน์ 21,569 ราย และช่องทางเฟซบุ๊ก 22,711 ราย โดยเป็นเรือนจำที่พบการระบาด 23,050 ราย และเรือนจำที่ไม่พบการระบาด 38,840 ราย

นายวัลลภฯ กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนสถานการณ์ของกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนพบเจ้าหน้าที่ติดเชื้อเพิ่ม 2 ราย เป็นเจ้าหน้าที่จากสถานพินิจฯ อยุธยา 1 ราย และหน่วยบริการธนบุรี อีก 1 ราย ขณะที่ยอดเด็กและเยาวชนติดเชื้อยังคงที่อยู่ที่ 3 ราย และยอดเดิมเจ้าหน้าที่ส่วนกลาง 1 ราย รวมสถานะผู้ป่วยทั้งหมด 6 ราย หรือ 6.45% ของผู้ติดเชื้อสะสมที่ 93 ราย ขณะที่สถานพินิจฯ/ศูนย์ฝึกและอบรมฯ สีขาววันนี้ มีสถานะรวม 35 แห่ง จากทั้งหมด 56 แห่ง ซึ่งอีก 21 แห่งนั้น อยู่ระหว่างรอตรวจ/รอผลตรวจ 10 แห่ง หมดสถานสีขาว 6 แห่ง และติดเชื้อรวม 5 แห่ง

ทั้งนี้กรมพินิจฯ ได้มีนโยบายในการเร่งการตรวจคัดกรองเชิงรุก และส่งเสริมให้เจ้าหน้าที่รับการฉีดวัคซีนให้ครบทุกคน รวมไปถึงเด็กและเยาวชนที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยล่าสุดได้เก็บสถิติการฉีดวัคซีนของเจ้าหน้าที่จากทั้งหมดจำนวน 4,420 ราย ซึ่งได้ทำการฉีดวัคซีนไปแล้วกว่า 2,734 ราย หรือคิดเป็น 61.86% พร้อมระดมทรัพยากรและของใช้ที่จำเป็นต่างๆ เยียวยาเจ้าหน้าที่ที่ติดเชื้อใหม่ทั้งสองรายแล้ว เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการต่างๆ ที่ศูนย์บริหารสถานการณ์ฯ กระทรวงยุติธรรมกำหนดอย่างเคร่งครัด และให้เจ้าหน้าที่ทุกคนคิดถึงผลกระทบในส่วนรวมหากมีเจ้าหน้าติดเชื้อซึ่งอาจเป็นพาหะนำโรคมาสู่เด็กและเยาวชนในสถานที่ควบคุมได้ “ขอให้เจ้าหน้าที่ทุกคนดูแลบุคคลในครอบครัว มีวินัยและการป้องกันตนเองไม่ให้โรคติดเชื้อดังกล่าวเข้ามาสู่ครอบครัวและสถานที่ควบคุมได้

*****************************************