สมุนไพรน่ารู้ อภัยภูเบศร : กินมะม่วง หายห่วงเรื่องท้องไส้ ใช้แก้ฝ้า

มะม่วง อยู่ในวิถีชีวิตคนไทยมานานจนกลายเป็นผลไม้ธรรมดา หาง่ายจนกินทิ้งกินขว้าง แต่ปัจจุบันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้ต้องหันมามองมะม่วงในมุมใหม่ มีงานวิจัยที่ศึกษามะม่วงหลากหลายสายพันธุ์ยืนยันตรงกันว่า มะม่วงมีคุณสมบัติเป็นปรีไบโอติกส์ (prebiotics) คือเป็นอาหารอย่างดีสำหรับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในระบบทางเดินอาหาร ซึ่งอาจเป็นการเปิดศักราชใหม่ในการใช้มะม่วงเป็นแหล่งให้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ หรือเป็นอาหารสุขภาพให้กับผู้ป่วยโรคเบาหวานและโรคมะเร็งได้

ปรีไบโอติกส์มีคุณสมบัติช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล ไขมัน ช่วยดูดซับสารพิษ และเป็นอาหารของโปรไบโอติกส์ ทำให้จุลินทรีย์ดีเหล่านี้แข็งแรง ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ลดปฏิกิริยาภูมิแพ้ กำจัดสารพิษ สร้างวิตามินต่างๆ คงเป็นเพราะเหตุนี้เอง เด็กบ้านนอกที่โตมากับดินกับทรายเมื่อ 40-50 ปีก่อน จึงไม่รู้จักกับโรคภูมิแพ้ ท้องไส้ไม่ค่อยผูก เพราะกินผักผลไม้มากมาย ถ้าท้องผูกจริงๆ ก็กินมะม่วงอ่อนจิ้มพริกเกลือกิน ดื่มน้ำตามลงไปมากๆ หรือกินมะม่วงสุกสัก 2-3 ลูก หรือไปเอามะม่วงกวนที่เก็บไว้ในปี๊บมาต้มน้ำกินเติมน้ำมะขามให้เปรี้ยวนิดๆ ก็ช่วยได้แล้ว

คนโบราณเชื่อว่ามะม่วงสุกจะช่วยคนที่ธาตุอ่อน การย่อยไม่แข็งแรง รักษาริดสีดวงลำไส้ที่ทำให้ท้องเสียบ่อยๆ ถ่ายไม่เป็นเวลา ท้องลั่นท้องลม หากกินะม่วงจะช่วยได้ ส่วนมะม่วงดิบนอกจากช่วยย่อยอาหารและช่วยระบายแล้ว ยังลดอาการคลื่นไส้อาเจียนจากการแพ้ท้องได้อีกด้วย ในขณะที่การวิจัยสมัยใหม่พบว่า สารแมงจิเฟอริน(magiferin) ที่พบทุกส่วนของมะม่วง มีคุณสมบัติในการป้องกันผนังกระเพาะไม่ให้ถูกทำลายจากแอลกอฮอล์และยาแก้อักเสบอินโดเมธาซิน(Indomethacin) และมีรายงานว่า สารต้านมะเร็งจากมะม่วงมีแนวโน้มที่จะช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่และมะเร็งเต้านมได้

คนหลายประเทศทั่วโลกไม่ได้กินมะม่วงเป็นแค่ผลไม้ แต่ยังใช้สรรพคุณทางยาที่หลากหลาย ชาวอินเดียเชื่อว่าการรับประทานมะม่วงจะช่วยในการขับถ่าย ขับปัสสาวะ กระตุ้นกำหนัด ทำให้สดชื่น ชาวเซเนกัลก็เชื่อเหมือนกันว่า กินมะม่วงจะทำให้สดชื่นมีชีวิตชีวา ส่วนชาวปานามากินมะม่วงสุกเป็นยาช่วยระบายเหมือนๆ คนไทย สรรพคุณข้อนี้ได้รับการยืนยันจากการศึกษาคุณค่าทางโภชนาการของมะม่วง ซึ่งพบว่า อุดมไปด้วยใยอาหารที่เป็นปรีไบโอติกส์ วิตามิน และแร่ธาตุ รวมทั้งสารโพลีฟีนอลที่มีฤทธ์ต้านอนุมูลอิสระ ในมะม่วง 100 กรัม จะมีวิตามินเอถึงหนึ่งในสี่ของปริมาณที่คนเราควรได้รับต่อวัน วิตามินเอจะช่วยสร้างเยื่อบุและเซลล์ของผิวหนัง บำรุงปอด และผิว นอกจากนี้ยังอุดมด้วยวิตามินบี 6 วิตามินบี 1 ซึ่งช่วยบำรุงประสาท และมีวิตามินอีอยู่ไม่น้อย ซึ่งช่วยในการปรับระบบฮอร์โมนของผู้หญิง จึงไม่น่าแปลกใจที่คนสมัยก่อนเวลาเลือดลมจะมา เขาให้กินมะม่วงกวน ราวกับรู้ว่าในมะม่วงมีวิตามินอีอย่างนั้นแหละ

การศึกษาวิจัยประโยชน์ทางยาของมะม่วงส่วนใหญ่มุ่งไปที่คุณสมบัติของสารสำคัญที่พบในมะม่วงคือ สารแมงจิเฟอรินที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งพบในทุกส่วนของมะม่วง แต่มีมากในใบ เปลือกต้น เปลือกผล สารนี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มภูมิคุ้มกัน บำรุงหัวใจ ลดความดัน ต้านเบาหวาน ชะลอความชรา ต้านการอักเสบ แก้ปวด เป็นต้น ปัจจุบันประเทศคิวบามีการสกัดสารจากเปลือกต้นมะม่วงออกมาจำหน่ายเป็นอาหารเสริมในการต้านอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อเซลล์ต่างๆ ของร่างกาย

มะม่วง เครื่องสำอางชั้นดีราคาประหยัด

มะม่วงใช้เป็นเครื่องสำอางได้ดี มีคุณสมบัติไม่แพ้เครื่องสำอางราคาแพงๆ วิธีใช้ คือ นำมะม่วงสุกพอกหน้าไว้เท่านั้นเอง หรือนำไปปั่นให้เหลวเพื่อทาหน้าก็ได้ คุณสมบัติในการบำรุงผิวนี้เกิดจากการที่มะม่วงมีวิตามินซีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่สูง คือ มีมากกว่ามะนาวถึง 3 เท่า และมีคุณสมบัติในการทำให้ผิวหน้าเรียบลื่นนุ่มชุ่มชื้น ในมะม่วงยังมีสารจำพวกน้ำตาลร่วมกับพวกกรดอะมิโนที่ช่วยคงความชุ่มชื้นไว้ที่ชั้นของผิวหนัง วิตามินเอและซีในมะม่วงยังช่วยกำจัดเซลล์ที่ตายแล้ว ลบรอยเหี่ยวย่นได้ดี ถ้าอยากสวยอย่างง่ายๆ ก็เพียงแต่เอามะม่วงสุก 1 ลูก ปั่นแล้วนำมาพอกหน้า ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะช่วยทำให้ผิวหน้าสดใสอ่อนเยาว์ สูตรนี้ไม่ได้โฆษณาเกินจริงเหมือนโฆษณาหน้าเด้ง แต่ช่วยบำรุงผิวหน้าได้จริงๆ

ตัวอย่างตำรับยา

1.ยาระบายมะม่วง

มะม่วงดิบจิ้มเกลือ เคี้ยวให้ละเอียด ดื่มน้ำตามมากๆ หรือมะม่วงสุกเท่าที่กินได้ หรือมะม่วงกวนต้มใส่น้ำมะขาม ใส่เกลือเล็กน้อย ดื่มเหมือนน้ำผลไม้ทั่วไป

2.ยาบำรุงใบมะม่วง

ใบมะม่วงอ่อนอังไฟให้กรอบ ชงน้ำร้อนกินแบบน้ำชา ช่วยบำรุงประสาท ทำให้ร่างกายสดชื่น ช่วยบำรุงเสียง

3.ยาบำรุงเปลือกผลมะม่วง

เปลือกผลมะม่วงที่ปอกเพื่อกินเนื้อหรือเอาไปกวน นำมาตากแดดให้แห้งเก็บไว้ชงน้ำกิน แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอ ถ้าได้เปลือกมะม่วงกะล่อน หรือมะม่วงพื้นเมืองที่มีกลิ่นหอมก็ยิ่งดี