สธ. จับมือราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ พัฒนาการให้บริการและการวิจัยทางการแพทย์สาธารณสุข

กระทรวงสาธารณสุข-ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ลงนามข้อตกลงความร่วมมือพัฒนาระบบการให้บริการทางการแพทย์ บุคลากรและการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข มุ่งหวังให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ป่วยและประชาชนในการเข้าถึงบริการสุขภาพ อย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน

วันที่ 30 พฤศจิกายน 2561 ที่กระทรวงสาธารณสุข นนทบุรี ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล  สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  เป็นประธานในพิธีลงนามข้อตกลงความร่วมมือระหว่าง กระทรวงสาธารณสุข โดย นายแพทย์สุขุม  กาญจนพิมาย  ปลัดกระทรวงสาธารณสุข  กับ  ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ โดย ศาสตราจารย์นายแพทย์นิธิ มหานนท์ เลขาธิการราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์  เพื่อส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาด้านการให้บริการและการวิจัยทางการแพทย์และสาธารณสุข รวมทั้งสนับสนุนทรัพยากรที่จำเป็นร่วมกัน  ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับผู้ป่วยและประชาชนในการเข้าถึงบริการสุขภาพ อย่างมีคุณภาพ ทั่วถึง และเท่าเทียมกัน

 

สำหรับความร่วมมือตามข้อตกลงมี  3 ด้าน ได้แก่ 1. การพัฒนาระบบการให้บริการทางการแพทย์ เช่น การรักษาผู้ป่วยมะเร็งโดยเทคโนโลยีโปรตอนและไอออนหนัก การดูแลรักษาผู้ป่วยเฉพาะทาง การร่วมกันใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์และการวิจัยทางการแพทย์ที่มีมูลค่าสูงของทั้งสองฝ่าย เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ป่วยและสังคมไทย 2. การพัฒนาบุคลากร อาทิ การให้หน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขเป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติงานของบุคลากร นักศึกษา แพทย์เพิ่มพูนทักษะ และแพทย์ใช้ทุนของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อเพิ่มพูนทักษะความรู้ ความสามารถในการให้บริการด้านสุขภาพ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์สนับสนุนการอบรม การผลิตบุคลากรตามความต้องการของกระทรวงสาธารณสุข การพัฒนากิจกรรมด้านการวิจัยและวิชาการ ด้านการแพทย์และการสาธารณสุข รวมถึงสาขาวิชาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่นวัตกรรมด้านสุขภาพที่หลากหลาย อาทิ การวิจัยการดูแลผู้สูงอายุแบบองค์รวม การวิจัยคุณสมบัติทางการแพทย์ของพืชและสมุนไพร เป็นต้น

“กระทรวงสาธารณสุขมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมมือกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ซึ่งเป็นราชวิทยาลัยที่มีศักยภาพ ทั้งด้านองค์ความรู้และการบริการ เพื่อพัฒนาระบบบริการทางการแพทย์ การพัฒนาบุคลากร การพัฒนากิจกรรมด้านการวิจัย และวิชาการด้านการแพทย์และการสาธารณสุข รวมถึงการสนับสนุนด้านทรัพยากรที่จำเป็น ตามภารกิจและขีดความสามารถของทั้งสองหน่วยงาน อย่างเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน” ศาสตราจารย์คลินิก เกียรติคุณ นายแพทย์ปิยะสกล กล่าว

****************************