วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564 ที่ห้องบัญชาการวิเคราะห์ และติดตามสถานการณ์น้ำ ชั้น 2 สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) จัดงาน “สื่อสารสถานการณ์วิกฤตน้ำประเทศไทยปี 2564” เพื่อให้ข้อมูลสถานการณ์น้ำประเทศไทย และเยี่ยมชมการดำเนินงานของสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ หรือ สสน. โดยมี ดร.รอยล จิตรดอน ประธานกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ, ดร.สุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ เป็นวิทยากรให้ข้อมูล เนื่องจากสถานการณ์ภัยแล้งของประเทศไทย โดยเฉพาะในปี 2564 คาดการณ์ว่าจะประสบปัญหาจากภัยแล้งมากที่สุด
ดร.สุทัศน์ วีสกุล ผู้อำนวยการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า ปริมาณฝนสะสมประเทศไทยในปี 2563 มีน้อยกว่าค่าปกติประมาณร้อยละ 4 ซึ่งเป็นเหตุการณ์ฝนน้อยกว่าปกติ 2 ปีติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 2562-2563 โดยเฉพาะภาคเหนือที่ฝนน้อยกว่าปกติถึงร้อยละ 17 ส่งผลให้ปริมาณน้ำที่ไหลลงอ่างเก็บน้ำต่างๆ มีน้อย รวมถึงปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักของลุ่มน้ำเจ้าพระยา (เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์) มีปริมาณน้ำใช้การเพียง 5,771 ล้านลูกบาศก์เมตร ขณะที่ความต้องการน้ำในช่วงฤดูแล้งถึงช่วงต้นฤดูฝนที่จะต้องเตรียมไว้ประมาณ 12,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
“ทำให้ฤดูแล้งปี 2564 มีน้ำไม่เพียงพอต่อ “การสนับสนุนการเกษตร” ซึ่งภาครัฐได้ประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกร งดทำนาปรัง โดยจะใช้น้ำสำหรับ “การอุปโภค-บริโภค” และ “รักษาระบบนิเวศ” ประมาณ 3,500 ล้านลูกบาศก์เมตร แต่ปัจจุบันเกษตรกรกลับทำนาปรังไปแล้วมากกว่า 2.8 ล้านไร่ ทำให้เกษตรกรสูบน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาและตามคลองชลประทาน จนน้ำเพื่อใช้ผลิตน้ำประปาหลายแห่งมีไม่เพียงพอ และเริ่มมีข่าวการแย่งน้ำกันเกิดขึ้น ปริมาณน้ำที่ระบายจากเขื่อนในฤดูแล้งปี 2564 นี้ อาจเกิดการสูบน้ำออกไปจากระบบเพิ่มมากขึ้น การประปาหลายแห่งที่ใช้น้ำจากคลองชลประทานอาจเกิดปัญหาขาดน้ำเพิ่มมากขึ้นด้วย”
นอกจากนี้ ในช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา สถานการณ์ความเค็มเริ่มรุกตัวเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาสูงมากจนสูงที่สุดเท่าที่มีการตรวจวัดมา ในรอบ 10 ปี บริเวณสถานีสูบน้ำสำแล จังหวัดปทุมธานี (ปากคลองประปา) ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบสำคัญของการประปานครหลวงที่ผลิตน้ำให้กับกรุงเทพมหานครฝั่งตะวันออกทั้งหมด โดยเมื่อวันที่ 30 มกราคม 2564 เวลา 20.40 น. มีค่าความเค็มสูงถึง 2.53 กรัมต่อลิตร นอกจากค่าความเค็มจะเกินมาตรฐานในการผลิตน้ำประปาแล้วยังมีค่าเกินเกณฑ์มาตรฐานน้ำใช้เพื่อการเกษตรด้วย ถึงแม้ปัจจุบันความเค็มจะมีค่าลดลงบ้างแล้ว แต่ก็ยังคงเป็นค่าความเค็มสูง
ดร.สุทัศน์ กล่าวว่า ความเค็มที่รุกตัวสูงมีสาเหตุหลักมาจากปริมาณน้ำจืดในแม่น้ำเจ้าพระยามีน้อย และการเกิดสภาวะน้ำทะเลหนุนสูงกว่าปกติ โดยมีอิทธิพลของลมใต้ที่เริ่มพัดปกคลุมทะเลอ่าวไทยตอนบน ตั้งแต่วันที่ 23 มกราคม ส่งผลให้น้ำทะเลเกิดการยกตัวของระดับน้ำทะเลพัดเข้าสู่อ่าวไทยตอนบน ระดับน้ำที่ตรวจวัดได้จริงบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาจึงสูงกว่าระดับน้ำขึ้นน้ำลงจากอิทธิพลของดวงจันทร์ การยกตัวของระดับน้ำทะเลนี้จะเสริมให้น้ำเค็มรุกตัวเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาเพิ่มมากขึ้น”
“ที่ผ่านมาเราใช้น้ำจากลุ่มน้ำแม่กลอง ที่มีเขื่อนวชิราลงกรณและเขื่อนศรีนครินทร์เป็นแหล่งน้ำต้นทุนสำคัญ มาช่วยผลักดันน้ำเค็มของแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในปีนี้น้ำในเขื่อนทั้งสองกลับมีน้ำน้อยมาก เพียงพอสำหรับใช้ในลุ่มน้ำแม่กลองเท่านั้น โดยอาจมีน้ำเหลือพอที่จะผันมาช่วยฝั่งเจ้าพระยาได้เพียง 350 ล้านลูกบาศก์เมตร ไม่เพียงพอต่อการผลักดันน้ำเค็มอย่างปีที่แล้ว ที่ผันน้ำจากแม่กลองมาช่วยถึง 1,000 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งภาครัฐโดยเฉพาะกรมชลประทาน กำลังเร่งหาทางแก้ไขปัญหา กำลังเพิ่มการระบายน้ำมากระแทกลิ่มความเค็มเพื่อช่วยลดความเค็มที่รุกตัวเข้ามา แต่การระบายน้ำลงมากลับยังคงมีการสูบน้ำออกจากแม่น้ำไป ทำให้น้ำมาได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ”
ดร.สุทัศน์ กล่าวต่อว่า หลักสำคัญในตอนนี้คือ เกษตรกรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาต้องเข้าใจสถานการณ์น้ำที่อยู่ในขั้นวิกฤตนี้ และไม่สูบน้ำไปจากแม่น้ำลำคลองเพราะจะทำให้เกิดปัญหากับประชาชนต่อน้ำกินน้ำใช้ได้ ส่วนประชาชนทุกภาคส่วนก็ต้องใช้น้ำอย่างประหยัดอย่างจริงจัง รวมทั้งต้องวางแผนการใช้น้ำอย่างรอบคอบให้ผ่านเดือนมีนาคมนี้ไปให้ได้เท่านั้น เพราะคาดว่าเดือนเมษายนนี้จะมีฝนตกมากกว่าค่าปกติและอาจเกิดพายุฤดูร้อนได้บ่อยครั้ง จะทำให้สถานการณ์ภัยแล้งเริ่มคลี่คลายลง
ด้าน ดร.รอยล จิตรดอน ประธานกรรมการสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ กล่าวว่า จากประสบการณ์ที่ทำงานกับชุมชนมา เราพบว่าในช่วงที่ประเทศไทยประสบภัยแล้งปี 2562-2563 ชุมชนที่เราทำงานด้วยกว่า 1,773 หมู่บ้าน เขารอดจากภัยแล้งได้ จากการสรุปเราพบว่าในขั้นแรกชุมชนเข้าไปฟื้นป่า โดยการทำฝายเพื่อเพิ่มเรื่องน้ำ จากฝายก็ทำต่อในเรื่องน้ำประปาภูเขา สามารถใช้เป็นระบบน้ำอุปโภคบริโภคได้ ในส่วนน้ำเพื่อการเกษตร ชุมชนแก้โดยการดูแลอ่างเก็บน้ำ และทำเป็นระบบสระพวง ทำให้มีน้ำเพื่อการเกษตร ซึ่งการทำการเกษตรจะแตกต่างจากในพื้นที่ราบคือทำเป็นวนเกษตรหรือเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาสามารถแก้ปัญหาความเสี่ยงที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และรวมกันเป็นทีมบริหารจัดการน้ำ เกิดเป็นกองทุนได้
“หลายชุมชนมีความเป็นอยู่เหมือนประเทศที่พัฒนาแล้ว คือมีกองทุนของตัวเอง เวลาเกษียณอายุหรือเวลาเจ็บป่วยจะมีเงินช่วยเหลือ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจากความร่วมมือระหว่างชุมชน เอกชนและรัฐ ไม่ใช่รัฐทำฝ่ายเดียว ยกตัวอย่างเช่น ภูเขาหัวโล้น จังหวัดน่าน เราเข้าไปฟื้นโดยการทดลองพื้นที่ 2000 ไร่ เปลี่ยนจากการปลูกข้าวโพด และแทนที่จะปลูกป่าชุมชนเริ่มจากฟื้นฟูฝาย ฟื้นระบบแทงก์น้ำ แล้วปลูกกล้วยนำก่อน 7 เดือน จากนั้นปลูกถั่วดาวอินคา มะนาว มะละกอ ทุเรียน แล้วมี กสทช.เอา 4G เข้าไปในพื้นที่ ชาวบ้านสามารถขายผลผลิตผ่านออนไลน์เกิดธุรกิจ สร้างรายได้เพิ่มขึ้นหลายเท่า ไม่มีการบุกรุกป่าและทำเป็นวนเกษตรและชุมชนไม่แล้งอีกต่อไป” ดร.รอยล กล่าว
ดร.รอยล กล่าวว่า ฤดูแล้งปีนี้อาจมีน้ำไม่เพียงพอต่อภาคการเกษตร ซึ่งภาครัฐพยายามประชาสัมพันธ์ให้เกษตรกรงดทำนาปรัง ซึ่งใช้น้ำปริมาณมาก จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคชุมชน โดยงดการทำนาปรัง หันมาทำเกษตรวิถีใหม่ ส่วนคนเมืองต้องเริ่มวางแผนการใช้น้ำให้ประหยัดมากขึ้น