พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน เปิดเผยว่า เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ COVID-19 หรือ COVID-19 ของประเทศไทยในปัจจุบันพบผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันสะสมภายในประเทศเพิ่มขึ้นจำนวนมาก ซึ่งมีผู้ติดเชื้อแพร่กระจายในหลายจังหวัด ดังนั้นเพื่อเป็นการยกระดับการปฏฺบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมการแพร่ระบาดของโรงดังกล่าว จึงออกมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สำหรับเจ้าหน้าที่ที่ดูแลใกล้ชิดกับเด็กและเยาวชนในสถานควบคุม โดยขอให้สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนทั่วประเทศ ปฏิบัติดังนี้
1. ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน เฝ้าระวังและควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ของกรมพินิจฯ ศบค. รัฐบาล และจังหวัดกำหนดโดยเคร่งครัด
2. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำมาตรการต่างๆ เช่น การซ้อมแผนป้องกันโรคโควิด-19 ในสถานควบคุม และมีการจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการป้องกันโรคให้เพียงพอพร้อมใช้งาน
3. ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผนเผชิญเหตุรองรับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
4. ให้หน่วยงานประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง และชุมชนถึงมาตรการในการดูแลเด็กและเยาวชนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เพื่อลดความวิตกกังวล
5. หน่วยงานที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ยืนยันจำนวนมาก และที่รัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ควบคุมสูงสุด ให้งดการนำบุคคลภายนอกเข้าสถานควบคุม และงดการนำเด็กหรือเยาวชนออกทำกิจกรรมนอกสถานควบคุมทุกกรณี ยกเว้นมีความจำเป็นเร่งด่วน เช่น เจ็บป่วย เป็นต้น
6. ให้ผู้อำนวยการเน้นย้ำและกำกับดูแลเจ้าหน้าที่ เด็กและเยาวชน และผู้มาติดต่อราชการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคโควิด-19 ที่กรมพินิจฯ กำหนดโดยเคร่งครัด และให้ปฏิบัติดังนี้
6.1 ให้ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
6.2 เจ้าหน้าที่ที่ทำงานใกล้ชิดกับบุคคลภายนอก หากอัตรากำลังมีเพียงพอ ควรงดเข้าปฏิบัติงานภายในสถานที่ควบคุม
6.3 งดเดินทางออกนอกพื้นที่ และงดการเข้าไปในพื้นที่เสี่ยง หากมีความจำเป็นต้องได้รับการอนุญาตจากผู้อำนวยการ6.4 หากเจ้าหน้าที่หรือบุคคลในครอบครัวมีอาการผิดปกติ หรือมีประวัติสัมผัสผู้ติดเชื้อโควิด-19 ให้แจ้งผู้บังคับญชาทราบโดยเร็ว และกักตัว 14 วัน เพื่อเฝ้าระวังป้องกันโรค และปฏิบัติตามระเบียบแนวทางที่เกี่ยวข้อง
6.5 เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องทำบันทึกข้อมูลการเดินทางทุกวัน และรวบรวมรายงานส่งผู้อำนวยการทราบเป็นรายสัปดาห์
6.6 งดให้ยานพาหนะและบุคคลภายนอกที่มาส่งอาหารเข้าไปในสถานควบคุม
6.7 ส่งเสริมเจ้าหน้าที่ใช้งานแอปพลิเคชันหมอชนะควบคู่กับแอปพลิเคชันไทยชนะ เพื่อประโยชน์ในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร
7. หากพบว่าเจ้าหน้าที่ไม่ขออนุญาตต่อผู้อำนวยการในการเดินทาง หรือปกปิดไม่แจ้งการเดินทางจะถูกพิจารณาโทษตามควรแก่กรณี และจากเหตุข้างต้นหากมีการติดเชื้อจากการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยงจนเกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ราชการ จะถือว่าผู้นั้นกระทำการโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง และถูกพิจารณาโทษทางวินัย
8. ให้ผู้บังคับบัญชาตระหนักถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นและให้ถือเป็นหน้าที่ที่ต้องคอยติดตามรับฟังข่าวความเคลื่อนไหว ตลอดจนเฝ้าสังเกตสอดส่องผู้ใต้บังคับบัญชาในทุกกรณีว่า ได้มีการเดินทางไปในสถานที่เสี่ยงต่อการติดโรคโควิด-19 หรืออยู่ใกล้ชิดกับบุคคลกลุ่มเสี่ยง หากผู้บังคับบัญชาละเลยต่อกรณีดังกล่าว และเกิดความเสียหายแก่ทางราชการขึ้น จะต้องร่วมรับผิดกับผู้ใต้บังคับบัญชานั้น โดยถือว่าเป็นความบกพร่องต่อหน้าที่ จะปฏิเสธความรับผิดชอบมิได้
ทั้งนี้ พ.ต.ท. วรรณพงษ์ฯ ยังได้เน้นย้ำว่า “ขอให้ทุกสถานพินิจฯ ทุกศูนย์ฝึกและอบรมฯ ใช้มาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดขั้นสูงสุดทุกระบบ ทั้งเจ้าหน้าที่ เด็กและเยาวชนในความดูแล ควบคุมการเคลื่อนที่ การสาธารณสุข และงดการทำกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับภายนอก ตลอดจนลดความเสี่ยงทุกด้านที่อาจเป็นสาเหตุ ผู้อำนวยการทุกคนต้องเคร่งครัด เข้มงวดอย่างสูงสุด พร้อมติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันไม่ให้การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เข้าไปในสถานควบคุมได้”
……………………………………..