คุ้มครองสิทธิฯ จับมือญี่ปุ่น แลกเปลี่ยนองค์ความรู้แผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน

วันที่ 16 ธันวาคม 2563 กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ โดยกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ร่วมกับ สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย จัดการสัมมนาร่วมระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น เรื่อง ธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (Webinar: Japan-Thailand Joint Seminar on Business and Human Rights) โดยได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์พิเศษ วิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานเปิดการสัมมนาฯ โดยมี ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจของประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น เข้าร่วม

สำหรับการสัมมนาฯ ดังกล่าว นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ มอบหมายให้ นางสาวนรีลักษณ์ แพไชยภูมิ ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เป็นวิทยากรแลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับสาระสำคัญและการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (National Action Plan on Business and Human Rights) ระยะที่ 1 (พ.ศ. 2562-2565) ของประเทศไทย การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการฯ ผลการดำเนินงานของประเทศไทยตามแผนปฏิบัติการฯ ข้อท้าทาย และแผนการดำเนินงานของประเทศไทยในปี 2564

นอกจากนี้ การสัมมนาฯ ยังได้รับเกียรติจาก Mr. Mikito Tomiyama ผู้อำนวยการกองสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรม กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น แลกเปลี่ยนประสบการณ์เกี่ยวกับกระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการระดับชาติว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนของประเทศญี่ปุ่น รวมทั้งประเด็นด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนที่จำเป็นเร่งด่วนที่ประเทศญี่ปุ่นต้องดำเนินการแก้ไข สำหรับช่วงสุดท้ายได้รับเกียรติจากศาสตราจารย์ Shotaro Hamamoto คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น ได้บรรยายถึงทิศทางโลกและข้อท้าทายสำคัญของสังคมระหว่างประเทศในการดำเนินงานด้านธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจแก่องค์กรธุรกิจสัญชาติญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยและองค์กรธุรกิจสัญชาติไทยที่ดำเนินธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น เกี่ยวกับทิศทางโลกในการส่งเสริมให้ภาคธุรกิจเคารพสิทธิมนุษยชน

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสัมมนาฯ ได้ชื่นชมพัฒนาการของทั้ง 2 ประเทศ และให้ความสนใจสอบถามในหลายประเด็น อาทิ บทบาทขององค์กรอิสระต่อกระบวนการจัดทำแผนปฏิบัติการฯ การกำหนดประเด็นสำคัญเร่งด่วนที่ควรแก้ไข ผลกระทบของภาคธุรกิจต่อการมีแผนปฏิบัติการฯ เป็นต้น ซึ่งการสัมมนาฯ ในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จในการเสริมสร้างความร่วมมือด้านวิชาการที่สำคัญ และเป็นโอกาสในการต่อยอดกิจกรรมและพัฒนาความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศต่อไป

……………………………….