องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ผนึกกำลังกลุ่มมิตรผล จัดพิธีลงนามการซื้อขายคาร์บอนเครดิต สอดรับเป้าหมายลดก๊าซ CO2 7-20% ภายในปี 63

กรุงเทพฯ 29 ตุลาคม 2561 –องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ร่วมกับกลุ่มมิตรผลจัด “พิธีลงนามการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ประจำปี พ.ศ. 2561” เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน ภายใต้โครงการ “ลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย” (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มีนโยบายจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยตั้งเป้าหมายระยะสั้นลดให้ได้ร้อยละ 7-20 ภายในปี พ.ศ. 2563 และในระยะยาวร้อยละ 20-25 ภายในปีพ.ศ. 2573

นางประเสริฐสุข จามรมาน ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) กล่าวว่า “อย่างที่ทราบกันดีว่าปัญหาภาวะโลกร้อนทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นทุกขณะ ประเทศไทยเองก็ได้รับผลกระทบในแง่ของฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลง อุณหภูมิที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และฝนตกนอกฤดูกาล เป็นต้นในฐานะสมาชิกรัฐภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและพิธีสารเกียวโต เราตระหนักถึงการมีส่วนร่วมในการลดการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. ในฐานะองค์กรที่สนับสนุนและส่งเสริมการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกแก่ภาคส่วนต่างๆ จึงได้พัฒนาโครงการ “ลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย” (Thailand Voluntary Emission Reduction Program: T-VER) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศโดยความสมัครใจ โดยสามารถนำปริมาณการลด/ดูดซับก๊าซเรือนกระจกที่ได้รับการรับรอง ที่เรียกว่า “คาร์บอนเครดิต” ซึ่งภายใต้โครงการ T-VER นี้เรียกว่า “TVERs” ไปขายในตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศได้ ทั้งนี้ อบก. ยังได้กำหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนในการพัฒนาโครงการ ระเบียบวิธีการในการลดก๊าซเรือนกระจก (Methodology) การขึ้นทะเบียนและการรับรองปริมาณก๊าซเรือนกระจก สำหรับประเทศไทย นอกจากนี้ ยังกำหนดให้มีการประเมินผลประโยชน์ร่วม
(Co-benefit) ทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการดำเนินโครงการ T-VER เช่น ช่วยลดมลพิษด้านสิ่งแวดล้อม ลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล ลดการใช้พลังงานและค่าไฟฟ้า สนับสนุนเศรษฐกิจในชุมชน เพิ่มรายได้แก่ชุมชน เพิ่มพื้นที่สีเขียว เพิ่มมูลค่าของเสียหรือของเหลือทิ้งทางการเกษตร และอื่นๆ รวมถึงส่งเสริมการพัฒนาอาชีพใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย เป็นต้น

จากข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตจากโครงการ T-VER รวมทั้งสิ้นกว่า 200,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า จาก 5 ประเภทโครงการ ได้แก่ ชีวภาพ ชีวมวล พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ และการนำความร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ ซึ่งนอกจากจะเป็นการใช้วัตถุดิบด้านพลังงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด ยังเป็นการสร้างรายได้เพิ่มให้กับผู้พัฒนาโครงการ อีกทั้งยังกระตุ้นให้เกิดขยายตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจภายในประเทศโดยปัจจุบันมีมูลค่าการซื้อขายกว่า 6.2 ล้านบาท กลุ่มมิตรผลนับเป็นหนึ่งในผู้นำประกอบการที่นำร่องและกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมของภาคเอกชนรายอื่นๆ อบก.หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้เห็นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยไปถึงเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกตามที่วางไว้”

นายกฤษฎา มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มมิตรผลผู้ขายคาร์บอนเครดิตรายใหญ่ของประเทศไทย กล่าวว่า “นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่เราจะได้ร่วมกันสร้างการรับรู้เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เกิดขึ้นในทุกภาคส่วน  โดยปัจจุบันเราได้ดำเนินโครงการ T-VER  และสามารถลดก๊าซเรือนกระจกผ่านการผลิตไฟฟ้าโดยใช้เชื้อเพลิงชีวมวลของโรงไฟฟ้ามิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี และยังมีอีกหลายโครงการอยู่ในระหว่างดำเนินการ กลุ่มมิตรผล เรามีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจภายใต้ปรัชญาของการดำเนินธุรกิจที่รับผิดชอบต่อสังคมให้ความสำคัญต่อการดูแลรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและพัฒนาชุมชนอย่างต่อเนื่องโดยเชื่อว่าการดำเนินธุรกิจในลักษณะดังกล่าวเป็นหนทางที่จะนำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน โดยมีนโยบายด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนและการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเศรษฐกิจสังคมชุมชน”

นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ตัวแทนภาคเอกชนที่ร่วมลงนามซื้อขายคาร์บอนเครดิตของกลุ่มมิตรผลและเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทยที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นองค์กรที่ไม่ปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Neutral) กล่าวว่า “ธนาคารกสิกรไทยในฐานะหน่วยงานในภาคการเงินการธนาคาร ที่ให้ความสำคัญต่อการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและมีแนวทางการดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิดการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งด้านเศรษฐกิจ  สังคม  และสิ่งแวดล้อม นอกจากการทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอนเป็นศูนย์ ด้วยการสนับสนุนคาร์บอนเครดิตจาก บริษัทมิตรผล ไบโอ-เพาเวอร์ จำกัด (ด่านช้าง) บล็อค (2) ซึ่งถือว่าเป็นความร่วมมือกันเพื่อผลักดันไปสู่สังคมเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Economy) และการเติบโตอย่างยั่งยืนแล้ว ยังพร้อมที่จะเป็นกลไกทางการเงินเพื่อพลักดันให้ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมตระหนักถึงผลกระทบของปัญหาภาวะโลกร้อน ด้วยการสนับสนุนทางการเงินเพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และสนับสนุนผู้ประกอบการเพื่อดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งทุกโครงการที่ธนาคารสนับสนุนสินเชื่อจะต้องผ่านการพิจารณาผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนอย่างรอบคอบตามกระบวนการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ของธนาคารอีกทั้งยังส่งเสริมให้ประชาชนใช้บริการทางการเงินผ่านแอพพลิเคชั่น K PLUS ซึ่งช่วยลดการเดินทาง ลดการใช้กระดาษ อันเป็นการช่วยบรรเทาปัญหาภาวะโลกร้อนได้อีกทางหนึ่ง สำหรับการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของธนาคารเอง คณะกรรมการธนาคารได้มอบหมายให้ประธานเจ้าหน้าที่บริหารทําหน้าที่เป็น Chief Environmental Officer เพื่อขับเคลื่อนงานด้านสิ่งแวดล้อมของธนาคาร และกําหนดเป้าหมายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการดําเนินงานของธนาคารลงร้อยละ 20 ภายในปี 2563 เทียบกับปีฐาน 2555 ซึ่งในเบื้องต้นธนาคารสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ร้อยละ 8 จากปีฐาน 2555 และจะพยายามดําเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายที่กําหนดไว้”

ผลการดำเนินงานโครงการ T-VER ของกลุ่มมิตรผลที่ผ่านมา มีผู้ซื้อคาร์บอนเครดิตเพื่อทำกิจกรรมชดเชยคาร์บอนและแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม จำนวน 26 องค์กร ประกอบด้วย หน่วยงานภาคเอกชน จำนวน 15 องค์กร ภาครัฐ จำนวน 9 องค์กร และรัฐวิสาหกิจ จำนวน 2 องค์กร โดยมีการขายคาร์บอนเครดิตไปแล้วกว่า 190,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าหรือคิดเป็นประมาณ 90% ของตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศไทยตามมาตรฐาน T-VER โดยหวังว่าการจัดงานดังกล่าวจะมีส่วนช่วยกระตุ้นให้ภาคประชาสังคมอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาภาวะโลกร้อนมากขึ้นและหากในอนาคตผู้ประกอบการภาคธุรกิจหรือภาคส่วนต่างๆร่วมใจกันซื้อคาร์บอนเครดิตจากโครงการ/กิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นก็จะเป็นแรงจูงใจที่สำคัญที่ทำให้มีผู้พัฒนาโครงการหรือกิจกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีมากขึ้นด้วยอันจะทำให้ประเทศไทยสามารถลดก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้นเช่นกัน

 

###