รมว.ยุติธรรม ยืดอกยอมรับ ป.ป.ส. ขาดองค์ความรู้สารไตรโซเดียมฟอสเฟส ตรวจเป็นม่วงเหมือนเคตามีน ปัดตรวจสอบผิดพลาด ชี้เครื่องมือได้มาตรฐานสากล เร่งทุกหน่วยงานตรวจของกลางที่เหลือให้จบสัปดาห์หน้า

รมว.ยุติธรรม ยืดอกยอมรับ ป.ป.ส. ขาดองค์ความรู้สารไตรโซเดียมฟอสเฟส ตรวจเป็นม่วงเหมือนเคตามีน ปัดตรวจสอบผิดพลาด ชี้เครื่องมือได้มาตรฐานสากล เร่งทุกหน่วยงานตรวจของกลางที่เหลือให้จบสัปดาห์หน้า แจงแถลงข่าววันแรกบอกว่าแค่ผลเบื้องต้นเท่านั้น ยันไม่มีสับของกลาง ลงดาบต้องมีผู้รับผิดชอบเรื่องนี้แน่ โยนปม”อัจฉริยะ”ฟ้องให้เป็นเรื่องของกฎหมาย

เมื่อเวลา 10.00 น. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แถลงถึงความสับสนในการจับกุมของกลางล็อตใหญ่ว่าใช่เคตามีนหรือไม่ว่า กรณีที่เกิดขึ้นตนได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด โดยมีการออกคำสั่งไปแล้ว เพื่อให้ตรวจสอบ โดยมีปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน และมีตัวแทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นกรรมการ เพื่อเร่งกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่างๆ และยืนยันว่าการตั้งคณะกรรมการชุดดังกล่าว ไม่ได้เป็นการกลั่นแกล้งใคร เพราะการวิพากษ์วิจารณ์หากกระทบ ตน หรือ ป.ป.ส. ที่เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่ตรงนี้ ตนรับได้ แต่ห่วงที่จะกระทบผู้อื่นที่ทำให้เกิดความเสียหาย ต้องถูกดำเนินคดี ตรงนี้ไม่ควรเกิดการบิดเบือนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ในการแถลงข่าวขณะจับกุมครั้งนั้น ตนบอกว่า เบื้องต้นพบว่าเป็นเคตามีน เพราะการใช้น้ำยาตรวจสอบปรากฎว่าเป็นสีม่วง แต่ผลจริงๆต้องรอจากแล๊ป ขอให้ย้อนดูคลิปการแถลงข่าวในวันนั้นได้เลย ตนยืนยันว่า ตนพูดว่าเป็นการตรวจสอบเบื้องต้นเท่านั้น

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ในส่วนของการทำงานในขณะนี้ ตอนนี้มีการเก็บตัวอย่างร่วมกัน ของหน่วยงาน ทั้ง ป.ป.ส. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองพิสูจน์หลักฐาน และนิติวิทยาศาสตร์ ส่วนการให้หน่วยงานอื่นๆมาช่วยตรวจสอบจะให้จบภายในสัปดาห์หน้า รวมถึงการจัดสัมนาทางวิชาการกับหน่วยงานอื่นๆ เช่น มหาวิทยาลัยต่างๆ , นักวิชาการ , สำนักงานปราบปรามยาเสพติด สหรัฐอเมริกา (DEA) เพื่อปรับความเข้าใจใหม่และหาความรู้และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสาร ไตรโซเดียมฟอสเฟส ซึ่งที่ผ่านมานั้น ป.ป.ส.ไม่เคยพบสารตัวนี้ ซึ่งเครื่องมือเทสคิตที่เราใช้อยู่ในขณะนี้เป็นมาตรฐานเดียวกับสากล

“ผมยอมรับว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องขาดองค์ความรู้เกี่ยวกับสารตัวนี้ เนื่องจากเป็นสารใหม่และไม่เคยปรากฎขึ้นในประเทศไทย ว่าหากเข้าเครื่องเทสคิตจะเป็นสีม่วงด้วย ซึ่ง UNODC บอกว่าประเทศอื่นเคยมีลักษณะนี้ แต่ในประเทศไทยถือเป็นครั้งแรก โดยจากนี้จะต้องมีการจัดเสวนาเพื่อสร้างองค์ความรู้และสร้างการรับรู้ให้กับประชาชนด้วย ทั้งนี้คำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆตนพร้อมน้อมรับ ซึ่งการปฏิบัติงานของหน่วยงานต่างๆในกระทรวงยุติธรรม เราจะเร่งสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์แก่ประชาชนโดยเร็วที่สุด” นายสมศักดิ์ กล่าว

เมื่อถามว่าสังคมสงสัยในหลายประเด็น ทั้งการขนส่ง การจัดเก็บหลักฐาน ว่าเป็นไปตามมาตรฐาน รวมถึงมีการเปลี่ยนหลักฐานหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ต้องมีการตั้งกรรมการสอบ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงในการขนย้าย และให้ชี้แจงโดยเร็วที่สุด ส่วนการจัดเก็บหลักฐาน ตนยืนยันว่า มีห้องเก็บหลักฐานหนาแน่น และระบบราชการ เรื่องการเก็บหลักฐานต่างๆ รัฐมนตรีไม่มีอำนาจเกี่ยวข้องเลย วันที่ไปแถลงการจตับกุม ตนต้องไปตามหน้าที่ หากไม่ไปคนจะหาว่าเราละเลยหน้าที่ ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าตนไม่เคยไปร่วมแถลงข่าวการจับกุมยาเสพติดเลย และตนจะเน้นการยึดทรัพย์ตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติดมากกว่า ขอเวลาให้ตนได้ทำงานตรงนี้

เมื่อถามถึงภาพลักษณ์ของกระทรวงยุติธรรมในเวลานี้ นายสมศักดิ์กล่าวว่า หากเป็นความผิดพลาดโดยเจตนาหรือมีอะไรแอบแฝง ถือว่าเป็นเสียหายแน่นอน แต่หากเป็นความผิดพลาดทางองค์ความรู้ ก็ไม่มีอะไรเสียหาย แต่เราต้องศึกษาหาความรู้ตรงจุดนี้เพิ่มเติม

เมื่อถามถึงกรณี นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงษ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เข้าพบพนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบในวงราชการ (ปปป.) เพื่อแจ้งความ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนให้นักกฎหมายดูให้อยู่ หากประเด็นไหนทำให้เกิดความเสียหายฟ้องได้ก็ต้องฟ้องเพื่อให้ปรากฎข้อเท็จจริง ซึ่งตนพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย

เมื่อถามว่า ในเรื่องนี้หากมีความชัดเจน ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบความผิดพลาดที่เกิดขึ้น นายสมศักดิ์กล่าวว่า ต้องมีผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้อยู่แล้ว เมื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด แต่ตอนนี้ต้องเร่งหาข้อเท็จจริงโดยเร็ว ว่าสารที่เรายึดมาได้ทั้งหมดนั้นมีการซุกซ่อนยาเสพติดไว้หรือไม่ นี่คือสิ่งที่เราต้องเร่งทำความจริงให้ปรากฎโดยเร็ว


ด้านนายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สังคมสงสัยว่าทำไมขั้นตอนการดำเนินคดีถึงได้ล่าช้า ตนขอชี้แจงว่า คดีนี้เรายึดของกลางได้โดยไม่มีผู้ต้องหา ไม่เหมือนกับการจับกุมของกลางพร้อมผู้ต้องหาที่เป็นความผิดซึ่งหน้า และคดีนี้เป็นคดีระหว่างประเทศ เป็นการประสานงานมาจากประเทศไต้หวัน ดังนั้นอำนาจในการสั่งสอบสวนจะอยู่ที่ อัยการสูงสุด ทางตำรวจไม่มีอำนาจ ขั้นตอนคือ เมื่อ ป.ป.ส.รวบรวมหลักฐานให้กับตำรวจ ทางตำรวจจะทำเอกสารให้อัยยการสูงสุด เพื่อสั่งตั้งคณะทำงานขึ้นมา ถึงจะมีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้ ซึ่งในส่วนของผู้ต้องสงสัยนั้น เรามีข้อมูลแล้ว แต่เรากำลังสืบไปให้ถึงผู้ร่วมกระบวนการในประเทศไทยทั้งหมด ซึ่งเป็นผู้ร่วมขบวนการกับผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมที่ไต้หวัน ดังนั้นนี่คือสิ่งที่สังคมต้องเข้าใจในกระบวนการ

………………………………………………………….